แน่นอนว่าที่เราต่างพยายามทุ่มเทฝึกซ้อม ออกกำลังกายกันอย่างหนักหน่วงนั้น ก็เพื่อพาตัวเองไปให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ เพื่อให้ตัวเองได้ครอบครองรูปร่าง ศักยภาพร่างกาย และความแข็งแกร่งอย่างที่ใจปรารถนาแต่ทั้งนี้ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลย ที่สุดท้ายแล้วก็ผิดหวังล้มเลิกไปก่อนกลางทาง ซึ่งความผิดพลาดหลักๆ ที่ทำให้การพัฒนาความ Fit ของเราไปไม่ถึงความสำเร็จนั้น มีอยู่ด้วยกัน 6 ข้อ ดังต่อไปนี้
1. มีเป้าหมายที่ยากและใหญ่เกินไป
เราต่างถูกแนะนำกันมาตลอดว่าต้องคิดใหญ่ ต้องตั้งเป้าหมายใหญ่ เพื่อจะได้มีไฟในการไปให้ถึง แต่ทั้งนี้ กับเป้าหมายที่ใหญ่ เยอะ และยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป ก็มักทำให้เราถอดใจได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน เพราะกระบวนการในการไปให้ถึงเป้าหมายนั้น มันอาจเข้มข้นเกินกว่าที่เราจะบริหารจัดการได้ จนกลายเป็นว่าแม้จะพยายามใช้เวลาไปพอสมควรแล้ว แต่ก็ดูเหมือนจะยังไม่ขยับเดินหน้าเลยสักนิด ก็เลยพาลให้ชีวิตหมดไฟไปในที่สุดนั่นเอง ดังนั้น บางทีการค่อยๆ พัฒนาความ Fit ไปทีละนิด กับเป้าหมายระยะสั้นๆ เช่น น้ำหนักลงเดือนละกิโล วิ่งเร็วขึ้นเดือนละ 15 วินาที ยกเหล็กได้หนักขึ้นเดือนละ 20 กิโล หรือ ออกกำลังกายได้นานขึ้น เข้มข้นขึ้นทุกเดือน ฯลฯ ดูจะเป็นแนวทางที่ทำให้เราเห็นผลลัพธ์ได้อย่างสม่ำเสมอ และหล่อเลี้ยงแรงใจให้เราค่อยๆ ก้าวต่อไปได้อย่างยาวนานจนถึงฝั่งฝันของเป้าหมายใหญ่ที่ตั้งใจไว้
2. ไม่สนใจพื้นฐาน รีบไปขั้น Advance เสมอ
น่าจะเป็นเรื่องปกติของทุกคนเลยก็ว่าได้ ที่ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะอยากไปฝึกอะไรยากๆ หนักๆ ที่ให้ผลลัพธ์เร็วๆ เลย โดยมองข้ามพื้นฐานไปแบบรู้สึกว่า ไม่จำเป็นก็ได้ ซึ่งนั่นถือว่าผิดอย่างมหันต์ เพราะเมื่อพื้นฐานไม่แน่น ยิ่งขึ้นไปสูงเท่าไร ก็อาจล้มพับลงมาได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของการฝึกซ้อม ออกกำลังกายก็คือ การไม่สนใจเรื่องของการ Warm Up การ Cool Down การยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อ การไม่สนใจเรื่องของการเคลื่อนไหวอย่างถูกต้อง ฯลฯ ซึ่งเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราฟิตร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่บาดเจ็บ ซึ่งเมื่อเรามองข้ามมันไป สุดท้ายแล้วเราก็จะบาดเจ็บและล้มเหลวในการฝึกซ้อมในที่สุด
3. คิดว่ากล้ามสวยใหญ่ คือผลลัพธ์ที่ใช่ที่สุด
ในความเป็นจริงนั้น การมีกล้ามที่ใหญ่ โต สวยงามนั้น ไม่ใช่เรื่องผิด หากแต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันเลยของการพัฒนาศักยภาพร่างกายมนุษย์ คือเรื่องของการพัฒนาการเคลื่อนไหวให้มีประสิทธิภาพควบคู่กันไปด้วย เพราะการพัฒนากล้ามเนื้อที่ไม่ได้ใส่ใจการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมนั้น สุดท้ายแล้วในไม่ช้า ร่างกายก็จะเคลื่อนไหวได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น ยิ่งหากเป็นนักกีฬาที่ต้องการ Performance ที่ยอดเยี่ยมด้วยแล้ว การมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวใช้อย่างกายได้อย่างคล่องแคล่วแข็งแรงนั้น คือหนทางสู่ความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนที่สุด ดังนั้น การจัดลำดับความสำคัญระหว่างการพัฒนาการเคลื่อนไหว และความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อนั้น จึงต้องทำอย่างเหมาะสมที่สุด
4. เน้นการออกกำลังหนัก และหักโหมเสมอ
“ออกกำลังกายหนักๆ มากๆ ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป” หลายๆ ครั้งเราก็มักจะรู้สึกว่า ถ้าออกหนัก ออกนาน ออกเยอะแล้ว จะเห็นผลลัพธ์ได้เร็วขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงก็ใช่ แต่ทว่า การหักโหมที่มากเกินไป อาจทำให้เราบาดเจ็บ และไปไม่ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน นอกจากนั้นแล้ว การออกกำลังกายแบบหักโหม แต่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ก็จะไม่ได้ทำให้เกิดผลลัพธ์อย่าที่ควรจะเป็นด้วย ในขณะที่หากเราออกกำลังกายหนัก แต่ไม่สม่ำเสมอ ไม่ได้มีวินัยเสมอต้นเสมอปลาย ผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายของเรา ก็จะเกิดขึ้นได้ยากแน่ๆ เช่นกันด้วย ดังนั้น ในแนวทางที่ดีที่สุดของการฝึกซ้อม จึงควร Work ให้ Smart มากกว่าที่จะ Work Harder
5. ไม่สนใจกายภาพบำบัด ถ้าไม่บาดเจ็บ
โดยทั่วไปของคนออกกำลังกาย และนักกีฬาหลายๆ คน มักจะมองว่า ไม่มีความจำเป็นต้องไปนวด ไปทำกายภาพบำบัดอะไรให้เสียเวลาเลยถ้าไม่บาดเจ็บ แต่ทั้งนี้ ในความเป็นจริงนั้น การกายภาพบำบัดไม่ได้เป็นประโยชน์เพียงแค่ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างกายเราพร้อมมากขึ้น ฟื้นฟูความฟิตได้ดีขึ้นเร็วขึ้น ทำให้เราออกกำลังกาย ฝึกซ้อมได้อย่างเต็มที่ และมีโอกาสลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บลงได้ ดังนั้น การทำกายภาพบำบัด จึงเป็นสิ่งที่นักกีฬา หรือคนที่ใช้ร่างกายเพื่อทำกิจกรรมในการฝึกซ้อมบ่อยๆ ควรใส่ใจ และไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้ร่างกายเราพร้อมสมบูรณ์มากขึ้น
6. ออกกำลังกายแล้ว กินอะไรก็ได้
โภชนาการถือเป็นเรื่องสำคัญเสมอสำหรับการฟิตร่างกาย ที่หากไม่ควบคุมจัดการให้ดีแล้ว ต่อให้พยามออกกำลังฝึกซ้อมมาแค่ไหน ก็จะไม่เห็นผลลัพธ์ง่ายๆ อย่างที่ใจต้องการแน่ๆ ทั้งนี้ ความเชื่อผิดๆ ที่หลายคนมักเป็นกันก็คือ หลังออกกำลังกายแล้วกินอะไรได้ หรือไม่บางคนก็เลือกจะไม่กินอะไรเลย เพราะกลัวว่าอุตส่าห์ออกกำลังกายไปแล้ว ยังจะเอาอะไรเข้าไปให้ที่ออกมามันไร้ประโยชน์อีกล่ะ ซึ่งในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่ควรทำก็คือ เราควรทานอาหารหลังออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มพลังงานและฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังการออกแรงไปแล้ว แต่ก็จำเป็นต้องระมัดระวังการกินด้วย คือไม่ได้กินได้ทุกอย่างตามใจ แต่ควรเลือกรับประทานอย่างเหมาะสม เน้นไปที่คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนอย่างพอเหมาะ เพื่อสร้างกล้ามเนื้อและเร่งการฟื้นตัวของร่างกายให้กลับมาฟิตอย่างรวดเร็ว รวมถึงเรื่องของการดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็เป็นสิ่งสำคัญมากที่ละเลยไม่ได้เด็ดขาด
แน่นอนว่าในการจะฟิต ฝึกซ้อมร่างกายให้บรรลุเป้าหมายอย่างที่ตั้งใจ คำว่า “มีวินัยในการฝึกซ้อม” มันมีรายละเอียดที่เราต้องให้ความสำคัญและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดรวมอยู่ในนั้นด้วยเสมอ กล่าวคือ เราจำเป็นต้องออกกำลังกายอย่างถูกวิธี อย่างเข้าใจ ใส่ใจพื้นฐาน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาไปอย่างเข้มข้นทีละขั้นทีละตอน ในขณะเดียวกันก็ยังต้องดูแลเรื่องของโภชนาการ การป้องกันอาการบาดเจ็บ และการฟื้นฟูร่างกายไปพร้อมๆ กันด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์แสดงออกมาได้อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น อย่าโฟกัสเพียงแค่สิ่งที่สนใจ หรือว่าเราคิดว่ามันจำเป็นเท่านั้น แต่ต้องเปิดใจมองภาพกว้างถึงองค์ประกอบสำคัญทุกปัจจัย ที่จะส่งผลให้การฝึกซ้อมของเราประสบความสำเร็จ และทำทุกอย่างให้เต็มที่ที่สุด