เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด 19 ที่เราทุกคนต่างก็ต้องงดการออกจากบ้านและทำ Social Distancing กันอย่างเข้มงวดนี้ ก็อาจทำให้เหล่าบรรดาโค้ชนักกีฬา และเทรนเนอร์ทั้งหลาย เกิดการติดขัด ที่ไม่สามารถดูแลฝึกอบรมผู้เข้ารับการฝึกได้แบบตัวต่อตัว แต่อย่างไรก็แล้วแต่ในยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีรุดหน้าไปมาก ก็ยังมีทางออกที่แก้ไขปัญหานี้ได้ด้วยการทำ “Remote Coaching” หรือการโค้ชทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ฝึกซ้อมและผู้ฝึกสอนยังได้ติดต่อกัน และดำเนินการฝึกตามโปรแกรมต่อไปได้โดยไม่เสียวินัย ซึ่ง 4 สิ่งสำคัญในการ “โค้ชทางไกล” หรือ การทำ “Remote Coaching” ให้มีประสิทธิภาพนั้น มีดังต่อไปนี้
1. ต้องเลือกใช้เครื่องมือในการสื่อสารให้ดีที่สุด
การการทำ Remote Coaching นั้น สิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรกเลยก็คือ “ช่องทางในการสื่อสาร” แน่นอนแหละว่าเราต้องอาศัย Internet ความเร็วสูง เพื่อให้โค้ชกับผู้เข้ารับการฝึกสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ราบรื่น ไม่ติดขัด ไม่ทำให้เกิดความหงุดหงิด และรู้สึกว่ากลายเป็นเรื่องยาก แต่นอกจากระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแล้ว โปรแกรมในการสื่อสารนั้นก็ถือว่าสำคัญมาก โดยควรเลือกใช้ที่เหมาะกับการสื่อสารให้ได้มากที่สุด ซึ่งทั้งโค้ชและผู้เข้ารับการฝึกสามารถหาติดตั้งได้ง่าย อย่าง โปรแกรม Zoom Meeting ที่สามารถสื่อสารกันได้แบบ 2 ทาง ทั้งผู้ฝึก และผู้เข้ารับการฝึกสามารถโต้ตอบและเห็นท่าทางของแต่ละฝ่ายได้อย่างชัดเจน หรือจะเป็นโปรมแกรมประชุมออนไลน์อื่นๆ อาทิ Skype, Google Hangout Meets หรือ Microsoft Team เป็นต้น ก็ได้
2. จะสำเร็จได้แค่ไหนอยู่ที่การกระตุ้นให้มีส่วนร่วม
เนื่องด้วยเป็นการโค้ช การพูดคุยฝึกสอนกันแบบไม่ได้เจอตัวกันจริงๆ จึงอาจทำให้เกิดความรู้สึกเหินห่างได้ ดังนั้น การจะทำ Remote Coaching ให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องอาศัยพลังในการ Cheer Up ที่มากกว่าปกติ คือโค้ชผู้ฝึกสอนจำเป็นต้องมี Energy และกระตือรือร้นมากกว่าปกติ แล้วต้องคอยกระตุ้น สร้างบรรยากาศในการฝึกสอนผ่านออนไลน์เป็นไปอย่างตื่นเต้นไม่น่าเบื่อ ทำให้ผู้ฝึกมีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด ไม่ได้เพียงแค่ “โค้ชทำให้ดู” แต่ต้อง “ให้ผู้ฝึกทำให้โค้ชดูและแนะนำ” ให้มาก นอกจากนั้นแล้ว ในการสร้างการมีส่วนร่วมนั้น ไม่ได้สร้างแค่เฉพาะ “ตอนที่ทำการ VDO Call หากัน” แต่ต้องทำตั้งแต่ การตกลงร่วมกันระหว่างโค้ชกับผู้ฝึกว่า เราจะฝีกกันผ่าน VDO Call จัดตารางเวลาในการพบกันให้ชัดเจนและเป็นกิจลักษณะที่สุด เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมและความกระตือรือร้นให้มากเพียงพอที่จะทำให้ “ระยะทาง” ไม่ใช่อุปสรรค
3. มีภารกิจให้ทำมีการวัดผลต่อเนื่องเหมือนปกติ
การจัดตารางเวลาฝึกซ้อมให้มาเจอกันผ่าน VDO ออนไลน์อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอให้เกิดการฝึกที่มีประสิทธิภาพได้ เพราะอย่าลืมว่า เราอาจไม่สามารถมา VDO Call เจอกันได้บ่อยเหมือนกับการไปเทรนที่ยิม ดังนั้น การ VDO Call จึงอาจเป็นเพียงการกระตุ้น และวางแผนการฝึกรูปแบบใหม่ที่สามารถทำได้ที่บ้าน เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกไปฝึกซ้อมด้วยตัวเอง แล้วกลับมารายงานผลความคืบหน้า ตามแผนการวัดผล เพื่อให้แม้รูปแบบการฝึกจะเป็นผ่านทางออนไลน์ที่ต่างไปจากเดิม แต่ความเข้มข้นในการฝึก และแนวทางปฏิบัติ ยังคงมีประสิทธิภาพ มีการวัดผลที่ให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพได้เหมือนเดิม
4. ไม่จำเป็นต้องฝึกแต่การออกกำลังกายก็ได้
การทำ Remote Coaching หรือ การโค้ชทางไกลนั้น ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมา VDO Call หากันเพื่อออกกำลังกายไปพร้อมกัน แต่อาจเป็นการโค้ชกันผ่านการพูดคุย ถามสารทุกข์สุขดิบ ถามความคืบหน้า พูดคุยจัดโปรแกรมเรื่องการรับประทานอาหาร แนะนำเรื่องโภชนาการ นำสูตรอาหารมาแบ่งปัน นำอุปกรณ์การฝึกซ้อมแบบทำที่บ้านได้ มาแนะนำ ก็ได้ทั้งหมด ฯลฯ เพื่อให้การโค้ชเป็นไปอย่างไม่ตึงเครียด และได้องค์ความรู้ที่รอบด้านจริงๆ เพราะในความเป็นจริงเราต้องไม่ลืมเด็ดขาดว่า การพัฒนาศักยภาพร่างกายนั้น ไม่ได้ทำเพียงแค่ยกเหล็ก ออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของการดูแลสุขภาพองค์รวม อย่างโภชนาการ การพักผ่อน สภาพจิตใจ และการกายภาพบำบัดเข้ามาร่วมด้วย และทุกเรื่องนี้เอง ก็สามารถได้รับการนำมาจัดเรียงเป็นตารางหัวข้อสำหรับ VDO Call หากันเพื่อทำ การโค้ชทางไกลได้
สาระสำคัญที่สุดของการทำ Remote Coaching หรือ การโค้ชทางไกลนั้น คือการที่ยังคงทำให้โค้ชและผู้เข้ารับการฝึก “ต่อกันติดอยู่” ยังคงทำให้สามารถดำรงสถานะของการรักษาวินัยในการฝึกซ้อมได้อยู่อย่างเข้มข้น แม้โปรแกรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปบ้าง แต่ก็จะไม่ทำให้เกิดการขาดตอน ขาดความต่อเนื่องจนสุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ไม่เกิด และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาศักยภาพร่างกายได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งหากโค้ชและผู้เข้ารับการฝึกตกลงทำความเข้าใจ และร่วมมือกันได้อย่างลงตัวทั้ง 2 ฝ่ายล่ะก็ วิกฤตการณ์โควิด 19 ก็จะไม่ใช่ปัญหาที่มาขวางทางเราในการพัฒนาศักยภาพร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นได้เลยแม้แต่นิดเดียว