แม้วัณโรคจะเป็นหนึ่งในโรคที่คุ้นหูคนไทยกันเป็นอย่างดี แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่ายังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าวัณโรคนั้นอันตรายมากแค่ไหน และอยู่ใกล้กับคนไทยมากเพียงใด โดยปัจจุบันประเทศไทยเราจัดเป็น 1 ใน 14 ประเทศที่พบผู้ป่วย วัณโรค สูงที่สุด คือพบในอัตรา 1.2 แสนคนต่อปี และในจำนวนนี้จะมีผู้เสียชีวิตประมาณปีละ 12,000 ราย
แต่อย่างไรก็ตามที่น่าเป็นห่วงยิ่งกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตก็คือ ในจำนวนผู้ป่วยที่พบว่าเป็นวัณโรคกลับมีผู้เข้าถึงการรักษาเพียงแค่ร้อยละ 60 เท่านั้น จึงทำให้เป็นที่มาของการรณรงค์เพื่อควบคุม วัณโรค อย่างจริงจัง ซึ่งเนื่องด้วยในวันที่ 24 มีนาคม ที่จะถึงนี้ จะเป็นวันวัณโรคโลก หรือ “World Tuberculosis Day” เราจึงถือโอกาสสัมภาษณ์ คุณหมอวินัย โบเวจา อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินหายใจโรงพยาบาลพญาไท 3 เพื่อให้เราได้ทำความรู้จักกับ “วัณโรค” ให้มากขึ้นและสามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจะวัณโรคได้มากขึ้น
สถานการณ์วัณโรคในปัจจุบัน เป็นอย่างไร?
สิ่งที่ต้องปูพื้นก่อนเกี่ยวกับวัณโรค ในปี 2019 นี้ ก็คือ องค์การอนามัยโลกประกาศเอาไว้ตั้งแต่หลายปีที่ผ่านมาแล้วว่า วัณโรคถือเป็นภาวะเร่งด่วน เป็นภาวะฉุกเฉิน ที่เราต้องช่วยกันรณรงค์ ช่วยกันรักษา และช่วยกันตรวจหาให้เจอ เพราะที่ผ่านมา ตัวเลขผู้ป่วยเป็นวัณโรคนั้นเพิ่มจำนวนสูงขึ้นมากเรื่อย ๆ และทิศทางการระงับวัณโรคก็ยังไม่ดีเท่าที่ควร จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องหันมาผลักดันให้เป็นภาวะเร่งด่วน
นอกจากนี้วัณโรคในศตวรรษนี้ยังเริ่มเปลี่ยนทิศทางไป คือกลายเป็น “วัณโรคดื้อยา” ซึ่งที่น่ากลัวคือไม่ใช่แค่ดื้อยาขนานสองขนาน แต่เป็นดื้อยาหลายขนานมาก ๆ เพราะฉะนั้น อนาคตสำหรับวัณโรคจึงเริ่มน่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่าคือภัยสำหรับลูกหลานเราในอนาคตด้วย
คำจำกัดความง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เราเข้าใจวัณโรคมากขึ้น คืออะไร?
วัณโรคคือเชื้อโรคชนิดหนึ่งที่ทำลายร่างกายคนเราแบบช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เหมือนกับแบคทีเรียอื่น ๆ ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายปุ๊บ ก็แสดงอาการให้เห็นทันที โดยส่วนใหญ่แล้ววัณโรคจะอาศัยอยู่ในปอด วัณโรคจริง ๆ แล้วก่อโรคได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ โดยมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่ที่พบได้บ่อยในคนเราและเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ “TB” ซึ่งพวกนี้อาศัยอยู่ตามท้องถิ่นเรา ดังนั้น ทุกคนล้วนมีโอกาสพร้อมเป็นวัณโรคได้เหมือนกันหมด และจะเป็นเมื่อไรก็ได้ ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน
แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เราเสี่ยงเป็นวัณโรค?
ส่วนใหญ่แล้วอาการที่บ่งบอกว่าอาจเป็นวัณโรคได้คือ “ไอเรื้อรัง” โดยเป็นได้ทั้งไอแห้ง และไอแบบมีเสมหะ จะเป็นเสมหะเหลืองหรือเขียว ก็มีโอกาสเป็นวัณโรคได้หมด หรือจะไอเป็นเลือดนี่ก็ใช่ อาการสำคัญร่วมอื่น ๆ ก็เช่น มีไข้ เหงื่อออก น้ำหนักลด และที่สังเกตได้ง่าย ๆ
อีกอย่างคือ การมีไข้แบบเฉพาะในตอนกลางคืน ถือว่าเข้าข่ายน่าสงสัยเลยว่าเป็นสัญญาณของวัณโรค เอาเป็นว่า ถ้าสองอาทิตย์แล้วอาการที่ว่าไปยังมีอยู่ ยังไม่ดีขึ้น ก็ควรรีบมาตรวจคัดกรองและปรึกษาแพทย์โดยด่วน
[irp posts=”1312″ name=”จริงหรือไม่ โยเกิร์ตช่วยบรรเทาอาการท้องร่วงได้”]
ใครมีโอกาสเสี่ยงเป็นวัณโรคได้มากที่สุด ?
จริง ๆ แล้วก็อย่างที่หมอบอกว่าทุกคนมีโอกาสหมด เพราะไอเรื้อรังเป็นโรคท้องถิ่นบ้านเรา แต่ถ้าจะถามว่าใครเสี่ยงมากที่สุด อันดับแรกเลยคือ คนที่ภูมิต้านทานไม่ดี สองคือโภชนาการไม่ดี ผอม แห้ง อ้วนน้ำหนักเกิน หรือคนที่ป่วยเป็นโรคปอดอยู่แล้ว อันนี้เสี่ยงมาก เพราะได้รับเชื้อปุ๊บปอดก็อาจทรุดได้เลยทันที
กลุ่มสุดท้ายคือคนที่ชอบสูบบุหรี่ และคนที่ทำงานในสายอาชีพที่กระตุ้นให้มีโอกาสเกิดวัณโรคได้ง่าย เช่นคนทำเหมืองแร่ คนงานที่ก่อสร้าง อยู่กับหิน กับฝุ่น กับมลพิษ เพราะการใช้ชีวิตแบบนี้จะกระตุ้นให้เกิดวัณโรคได้ง่าย
สิ่งสำคัญที่ควรตระหนักที่สุดเมื่อทราบว่าเป็นวัณโรคคืออะไร ?
อันดับแรกคือเราต้องรู้หน้าที่ โดยต้องระลึกไว้เสมอว่า “เรามีหน้าที่ในการไม่แพร่เชื้อวัณโรคไปสู่ผู้อื่น” ทั้งนี้ ภายใน 2 อาทิตย์แรกเราต้อง “แยกตัวเอง” ออกจากผู้คนและชุมชน ต้องใส่ผ้าคลุมปิดปาก จะไอ จาม ธรรมดาไม่ได้ ต้องไอจามใส่ผ้า หรือกระดาษชำระ แล้วห่อเก็บทิ้งให้เรียบร้อย
ลำดับต่อมาคือ ต้องคำนึงเรื่องการแยกจานแยกช้อน เพราะวัณโรคสามารถติดต่อได้ทางน้ำลาย เวลารับประทานอาหารเสร็จแล้วเราก็ต้องล้างส่วนตัวของเราไม่นำไปปนกับคนอื่น ไม่ควรไปทำงานในช่วง 2 อาทิตย์แรกเด็ดขาด เพราะมีโอกาสสูงที่เราจะไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่น แต่หลังจาก 2 อาทิตย์ไปแล้วนั้น สามารถกลับไปทำงานได้ เพราะโดยหลักการแล้วยาที่ได้รับในช่วงแรก เมื่อครบ 2 อาทิตย์ จะทำให้ความสามารถในการแพร่เชื้อลดน้อยลงจนแทบจะไม่มีเหลือ
ได้ยาแค่ 2 อาทิตย์แรกก็ไม่แพร่เชื้อแล้ว แสดงว่าวัณโรครักษาหายได้แน่นอนใช่หรือไม่ ?
ในวงการแพทย์มีเพียงไม่กี่โรคเท่านั้นที่หมอสามารถตอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า “รักษาหายได้” หนึ่งในนั้นคือ โปลิโอ และสองคือ “วัณโรค” ดังนั้น สิ่งที่อยากจะบอกให้คนไข้ทุกคนสบายใจก็คือ วัณโรคเป็นได้ แต่ก็สามารถรักษาหายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ใช่วัณโรคดื้อยา และคนไข้ไม่ดื้อเอง ทานยาตามแพทย์สั่งสม่ำเสมอ
วิธีดูแลปอดตัวเองง่าย ๆ ให้ห่างไกลจากวัณโรคทำได้อย่างไรบ้าง ?
หาอากาศดี ๆ ให้ปอด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอากาศที่ไม่ดี หลีกเลี่ยงควันเขม่า อย่างควันรถ บ้านเรานั้น เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพราะเป็นอันตรายต่อปอดแน่นอน พาตัวเองไปอยู่กับธรรมชาติบ้าง พักปอดจากมลพิษในเมืองบ้าง ปอดก็เหมือนกับเครื่องฟอกอากาศ เลือดทั้งร่างกาย สูบขึ้นหัวใจ หัวใจยิงเข้าสู่ปอด เพื่อมาฟอก เพื่อมารับออกซิเจน แล้วนำกลับไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้น ถ้าเราไม่ดูแลเครื่องฟอกอากาศในตัวเรา ก็คงเป็นเรื่องยากที่ชีวิตนี้เราจะได้สูดลมหายใจอย่างมีความสุขสดชื่นแบบเต็มปอดได้
อยากฝากอะไรถึงคนไทยทุกคนเกี่ยวกับวัณโรคบ้าง ?
สุดท้ายที่หมออยากฝากไว้ก็คือ แม้วัณโรคจะเป็นโรคอันตราย แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้ ดังนั้น ไม่จำเป็นต้องกังวล บางคนมักเข้าใจและตัดสินไปเองว่าที่เราติดวัณโรคมาเพราะเราไม่สะอาด เราไปอยู่กับคนไม่สะอาด
ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย วัณโรคไม่ใช่โรคคนชั้นต่ำ ไม่ใช่โรคที่น่ารังเกียจ เราทุกคนไม่ว่าจะคนชนชั้นไหน ยากดีมีจน ร่ำรวยล้นฟ้า ก็มีโอกาสเป็นวัณโรคได้เหมือนกันหมด และจะเป็นเมื่อไรก็ได้ เพราะวัณโรคเป็นโรคท้องถิ่น ดังนั้น จึงไม่ต้องรู้สึกขยะแขยง ไม่ต้องรู้สึกว่าเราสกปรกหรือเปล่า เพราะเป็นได้ก็หายได้ รักษาหายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์