“หัวใจ” ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกายคนเรา ที่แม้จะมีเพียงแค่หนึ่งเดียว และมีขนาดประมาณกำปั้นของเจ้าของ แต่ทว่าการทำงานภายในนั้นกลับมีความซับซ้อนที่จำเป็นต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยในการตรวจสอบ เพื่อให้ทราบว่า “มีความผิดปกติตรงจุดใดกันแน่” จะได้ทำการรักษาได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด และได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพที่สุด
ทั้งนี้ เนื่องจากความผิดปกติของ หัวใจ นั้นมีความหลากหลาย จึงทำให้การตรวจวินิจฉัยนั้นมีหลายรูปแบบตามไปด้วย แต่โดยเบื้องต้นนั้น แนวทางในการตรวจหัวใจพื้นฐานหลัก ๆ อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยโรคเฉพาะทางหัวใจนั้น มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1.การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ทางการแพทย์เรียกกันแบบย่อว่า “EKG หรือ ECG” (Elektrokardiogram / Electrocardiogram) หมายถึงการทดสอบสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจในแต่ละจังหวะการเต้น ถือเป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้นที่ทำง่ายที่สุด และสามารถบอกข้อมูลได้ว่า การเต้นของหัวใจเราผิดปกติหรือไม่? แกนไฟฟ้าหัวใจของเราแข็งแรงดีหรือไม่? หัวใจมีอาการโตกว่าปกติหรือไม่? ตลอดจนบอกได้ด้วยว่าหัวใจของเรามีลักษณะของการขาดเลือดหรือไม่? ฯลฯ
2.การตรวจ CT Calcium Score
เป็นการตรวจหา “หินปูน” ที่หัวใจ ซึ่งอาจเกาะอยู่ได้ตามบริเวณต่าง ๆ ของหัวใจคนเรา ไม่ว่าจะเป็น ผนังหลอดเลือดหัวใจ เยื้อหุ้มหัวใจ หรือว่าลิ้นหัวใจ โดยหินปูนดังกล่าวนี้ คือตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ซึ่งในการตรวจ CT Calcium Score นั้น จะทำได้โดยการใช้เครื่องเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ตรวจไปยังบริเวณหลอดเลือดหัวใจของคนไข้ โดยผลตรวจจะออกมาเป็นค่าตัวเลข ตั้งแต่ 0 และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งยิ่งผลตรวจออกมามีค่าตัวเลขมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือดมากเท่านั้น
3.การอัลตร้าซาวด์หัวใจ
ทางการแพทย์เรียกกันแบบย่อว่า “การทำเอคโค” ซึ่งย่อมาจากคำว่า Echocardiogram เป็นการตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เพื่อใช้ตรวจสอบโครงสร้างของหัวใจว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยสามารถใช้ตรวจสอบได้ตั้งแต่ความสมบูรณ์ของกล้ามเนื้อหัวใจ ลิ้นหัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ตลอดจนสามารถใช้ตรวจสอบความสมบูรณ์ของหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำบริเวณรอบ ๆ หัวใจได้ด้วย
4.การเดินสายพาน
ทางการแพทย์เรียกกันแบบย่อว่า “การทำ EST” หรือ Exercise Stress Test เป็นการตรวจสมรรถภาพหัวใจ ในกรณีที่คนไข้ยังไม่ได้แสดงอาการชัดเจนมากนัก แต่แพทย์สงสัยว่าอาจมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือมีการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ ที่สัมพันธ์กับการออกกำลัง ซึ่งแพทย์ก็จะทำการตรวจโดยให้คนไข้ออกกำลังด้วยการเดินสายพาน หรือปั่นจักรยาน เพื่อดูการทำงานของหัวใจ และหาข้อบ่งชี้ถึงอาการผิดปกติ เพื่อวินิจฉัยและทำการวางแผนการรักษาให้ถูกต้องเหมาะสม
ในการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางหัวใจนั้น แพทย์จะเริ่มต้นจากการซักประวัติ สอบถามอาการ และตรวจร่างกายพื้นฐาน ก่อนจะเลือกใช้วิธีการตรวจทางหัวใจพื้นฐาน 4 รูปแบบข้างต้น ในการตรวจวินิจฉัยหาความผิดปกติของหัวใจ หลังจากนั้นก็จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ และเข้าสู่การตรวจละเอียดเชิงลึกไปตามสาเหตุของความผิดปกติที่ตรวจพบ เพื่อวางแผนการรักษาต่อไป
ทั้งนี้ เนื่องจากโรคทางหัวใจนั้นมีความหลากหลาย และทุกความผิดปกติล้วนมีความรุนแรง เป็นอันตรายถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ การเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการหมั่นสังเกตอาการความผิดปกติตัวเองอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันเราจากภัยร้ายของความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับหัวใจได้ดีที่สุด โดยอาการสำคัญที่เกี่ยวกับโรคหัวใจที่ต้องตระหนักไว้ให้ดี ก็ได้แก่ หายใจหอบเหนื่อยง่าย แน่น เจ็บหน้าอก เฉียบพลัน