เมื่ออายุมากขึ้น ความดูดีที่มาพร้อมกับความรู้สึกดี ๆ มีหลายรูปแบบ เพื่อช่วยให้คุณสร้างสมดุลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และที่สำคัญที่สุดคือ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ซึ่งสำหรับ การดูแลผิว ให้มีสุขภาพที่ดีมีดังนี้
1.ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF
ไม่ว่าอายุ, เพศ, เชื้อชาติ หรือสภาพผิวของคุณจะเป็นอย่างไร ความเสียหายจากแสงแดดจะช่วยเร่งกระบวนการชราภาพได้ ที่สำคัญยังเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
การใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ SPF ในตอนเริ่มต้นการแต่งหน้า ไม่เพียงแค่สร้างฐานที่สมบูรณ์แบบสำหรับรองพื้นเท่านั้น แต่ยังให้ความชุ่มชื้น, ควบคุมน้ำมัน และที่สำคัญที่สุดคือปกป้องผิวจากรังสียูวีที่เป็นอันตราย
2.ตรวจสุขภาพภายในทุกปี
ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีควรเข้ารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงใกล้หมดประจำเดือนและช่วงวัยหมดประจำเดือน
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ทำการตรวจแมมโมแกรมทุก ๆ 1-2 ปี, ตรวจ Pap smear, ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่, ตรวจความดันโลหิต และระดับไขมันเป็นประจำกับแพทย์ของคุณ รวมทั้งทบทวนประวัติครอบครัวที่มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม, รังไข่ หรือมดลูก เช่นเดียวกับโรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดสมอง หรือการแข็งตัวของเลือด แนวทางปฏิบัติและระเบียบปฏิบัติทั้งหมดเหล่านี้จะช่วยให้คุณมี, ป้องกัน หรือลดอาการเจ็บป่วยเรื้อรังได้หากเคยเกิดขึ้น
3.ยกดวงตาด้วยการแต่งหน้า
ผู้คนมักใช้อายแชโดว์ตามเส้นขอบตาตามธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้ตาไม่สวย ในการยกตาขึ้น แนะนำให้ใช้มุมด้านนอกของคิ้วเป็นแนวทาง และเกลี่ยอายแชโดว์ขึ้นและลงที่มุมด้านนอกของคิ้ว สิ่งนี้จะสร้างรูปร่างตาที่ยกขึ้นและยาวขึ้นได้
ยิ่งไปกว่านั้น แนะนำให้อยู่ห่างจากอายไลเนอร์แบบหนัก ๆ ที่ทำให้ดูเกร็งและดึงความสนใจไปที่เปลือกตาล่างที่หย่อนยาน แนะนำให้ทาเปลือกตาบนให้แน่นโดยใช้ไลเนอร์กับเส้นขนตาด้านบนแทน
4.เฝ้าระวังคอเรสเตอรอล
ด้วยระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผันผวนอาจทำให้ระดับคอเลสเตอรอล ชนิด LDL เพิ่มขึ้นหรือที่เรียกว่าคอเลสเตอรอลที่ “ไม่ดี” และอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้
5.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผม, เพิ่มวอลุ่ม และให้ความชุ่มชื้น
สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องจำไว้ว่าผมที่เรามีในวัย 20 ปีไม่ใช่ผมที่เรามีเมื่อเราเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัย 50 ปีขึ้นไป คุณอาจพบความเปลี่ยนแปลง เช่น ความบางและความแห้ง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้สามารถแก้ไขได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
6.ออกกำลังกายเป็นประจำ
ตั้งเป้าหมายที่จะเคลื่อนไหวอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน เริ่มทีละน้อย ๆ ตลอดทั้งวันเพื่อให้รู้สึกเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หากวิธีนี้ใช้ได้ผลสำหรับคุณ คุณสามารถลองเดิน, เล่นโยคะเบา ๆ หรือถ้าคุณรู้สึกแข็งแรงเป็นพิเศษ ให้ฝึกแบบแรงต้านหรือพิลาทิส
7.คอนทัวร์หน้า เพื่อยกกระชับ
แนะนำให้หาโหนกแก้มของคุณและทาครีมคอนทัวร์หรือบรอนเซอร์ใต้โหนกแก้ม เพื่อสร้างเงาและความลึก โดยทำซ้ำเทคนิคตามแนวกราม
8.ดื่มน้ำให้เพียงพอ
สารอาหารที่สำคัญอย่างยิ่งอย่างหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือน้ำ แม้แต่การขาดน้ำเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลเสียต่ออารมณ์, ระดับพลังงาน และความสามารถในการโฟกัส รวมทั้งอาจทำให้ผิวแห้งและมีริ้วรอยมากขึ้น
เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับปริมาณน้ำที่เพียงพอ ให้เริ่มดื่มในตอนเช้าและดื่มต่อตลอดทั้งวัน การเติมขวดน้ำขนาดใหญ่ในตอนเช้าและนำติดตัวไปทุกที่สามารถช่วยให้คุณไม่ลืมที่จะดื่ม
9.ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยหมดประจำเดือน แนะนำให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสุขภาพจิตและพูดคุยกับแพทย์ของคุณ ที่สำคัญอย่าเพิกเฉยต่ออาการซึมเศร้า
ระวังว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือนมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีภาวะซึมเศร้าในวัยแรกรุ่นหรือหลังคลอด
10.อย่าทาแป้งมากเกินไป
แนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอย่างบางเบา เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Hyaluronic สิ่งนี้ช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิว, เบลอความไม่สมบูรณ์, ลดขนาดรูขุมขน, เติมเต็มริ้วรอย และควบคุมความเงางามโดยไม่ทำให้ผิวแห้ง
11.หาความรู้ให้ตัวเองในวัยหมดประจำเดือน
โดยการค้นคว้าและพูดคุยกับเพื่อน, ครอบครัว และแพทย์ของคุณอย่างจริงจัง Perimenopause (หรือก่อนวัยหมดประจำเดือน) สามารถส่งผลกระทบต่อผู้หญิงได้ตั้งแต่อายุ 30 ปี ได้แก่
- ร้อนวูบวาบและเหงื่อออกตอนกลางคืน
- อารมณ์เเปรปรวน
- ปวดหัว
- รบกวนการนอนหลับ
- น้ำหนักมากขึ้น, น้ำหนักเพิ่มขึ้น, อ้วนขึ้น
- ประจำเดือนมาไม่ปกติและการตกไข่
- แรงขับทางเพศลดลงหรือมีเพศสัมพันธ์ที่เจ็บปวด
- การเปลี่ยนแปลงของขนาดหรือรูปร่างของเต้านม
- ใจสั่น
- สูญเสียความจำและสมาธิ
12.ทานอาหารเสริมแคลเซียม
ด้วยระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลงหลังวัยหมดประจำเดือน คุณอาจเริ่มสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกได้เร็วขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนได้ สิ่งนี้นำไปสู่ความเสี่ยงจากการแตกหักที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่จะต้องแน่ใจว่าคุณได้รับแคลเซียมเพียงพอเพื่อรักษาความแข็งแรง
คุณสามารถทำได้โดยการเสริมแคลเซียมหรือตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้รวมอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียมหรือแคลเซียมเสริมในอาหารของคุณเช่น นม, น้ำส้ม และธัญพืชเต็มเมล็ด
13.สนุกกับสีผมที่เปลี่ยนไป
การมีแผนร่วมกับสไตลิสต์ของคุณเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นกุญแจสำคัญ รวมถึงการทำให้สีผมสว่างขึ้นหรือการทำไฮไลท์ เพื่อให้กลมกลืนได้ดีขึ้น
คุณอาจสังเกตเห็นว่าเส้นผมสีเทาของคุณดูหยาบและแข็งขึ้นเล็กน้อยแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์มาสก์ผมที่ให้ความชุ่มชื้น เพื่อช่วยปรับสภาพและทำให้สีสดอยู่เสมอ
14.หันมาดื่มชาเขียว
ชาเขียวมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ต่อสู้กับการอักเสบ ดังนั้นแนะนำให้ดื่มเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณต่อสู้กับสภาวะการอักเสบใด ๆ เช่น โรคข้ออักเสบหรือโรคลำไส้อักเสบ (IBS)
15.นอนหลับให้เพียงพอ
เมื่ออายุมากขึ้น การนอนหลับมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ดังนั้นแนะนำให้คุณ “จัดลำดับความสำคัญ” ในการพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงในทุกคืนเพื่อให้ตื่นอย่างมีคุณภาพ
16.จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์
การดื่มแอลกอฮอล์ในผู้สูงอายุกำลังเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อปัญหาหัวใจและตับ, ปัญหาด้านความจำ, ความผิดปกติทางอารมณ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
17.เลือกใช้ไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอล
เรตินอลเป็นรูปแบบของวิตามินเอที่ช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิว จึงช่วยปรับปรุงพื้นผิวและการเด้งของผิว ซึ่งการใช้ไนท์ครีมที่มีเรตินอลหรือทางเลือกอื่น tretinoin, retinol, bakuchiol หรือ retinyl เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรักษาความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้ผิวของคุณ
18.ทานอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารมากขึ้น
เมตาบอลิซึมช้าลงตามธรรมชาติเมื่อเรามีอายุมากขึ้น และความเข้มข้นของกิจกรรมก็เริ่มช้าลงเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หมายความว่าต้องการแคลอรีน้อยลงเพื่อรักษาน้ำหนักตัวให้แข็งแรง ดังนั้น การเลือกอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการสารอาหารในแต่ละวันโดยไม่ให้แคลอรี่มากเกินไป
มีหลายวิธีที่สามารถรวมมื้ออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเข้าไว้ในอาหารของคุณ วิธีหนึ่งคือทำสมูทตี้ที่เร็วและง่าย ได้แก่ สมูทตี้ที่มี Ripple (นมถั่วเสริม), กล้วย, เนยถั่ว, ผงโปรตีน, เมล็ดเจีย และผักโขมจะให้วิตามินดี, แคลเซียม, แมกนีเซียม และวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อช่วยให้มีสุขภาพที่ดี
19.เพิ่มอิเล็กโทรไลต์
มวลกล้ามเนื้อและการทำงานของไตมักจะลดลงตามอายุ ทำให้ความสามารถในการกักเก็บน้ำลดลง นอกจากนี้ ความสามารถของไตในการขับสารพิษออกจากเลือดจะลดลงตามอายุและต้องการน้ำมากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้สูงอายุจะสูญเสียน้ำเพื่อการทำงานของไตตามปกติมากกว่าคนที่อายุน้อยกว่า ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น ความไวต่อการกระหายน้ำจะลดลง ซึ่งหมายความว่ามีโอกาสน้อยที่จะสังเกตเห็นเมื่อเราขาดน้ำ
แนะนำให้ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 50 ปีทานอาหารเสริมอิเล็กโทรไลต์โดยไม่เติมน้ำตาล เพื่อให้ดูดซึมของเหลวได้มากขึ้นและทดแทนอิเล็กโทรไลต์ที่สูญเสียไปจากการออกกำลังกาย, แอลกอฮอล์, การเจ็บป่วย และการใช้ยาทั่วไป
20.ทำความเข้าใจกับความเสี่ยงของการทำทรีทเม้นท์
การฉีดโบท็อกซ์หรือฟิลเลอร์มีความเสี่ยงสูงที่ทุกคนไม่พูดถึง ซึ่งโบท็อกซ์สามารถป้องกันริ้วรอยโดยการยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ โดยปกติแล้วจะต้องฉีด 2-4 ครั้งต่อปีเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด
ส่วนฟิลเลอร์มักใช้ในการทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มหรือยกกระชับส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้า และหากทำไม่ถูกต้อง อาจส่งผลเสียร้ายแรงรวมทั้งโรคหลอดเลือดสมอง, ตาบอด, แผลเป็นรุนแรงและถาวร โดยเฉพาะฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน
แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจทำทรีทเม้นท์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นและให้ตรงเป้าหมายของคุณมากที่สุด
Resource : https://www.prevention.com