แม้ว่าทุกคนจะมีอายุต่างกัน แต่การเสื่อมสภาพของผิวมักเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของริ้วรอยและร่องลึก, การสูญเสียความยืดหยุ่น, เนื้อสัมผัสที่หยาบกร้าน ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายชนิดที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ อาจช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยได้
เมื่อเราอายุมากขึ้น คอลลาเจนและอีลาสตินจะแตกตัวในผิวหนัง ทำให้หย่อนคล้อยและมีแนวโน้มที่จะเกิดรอยย่นมากขึ้น การสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต (UV) และพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ จะยิ่งทำลายคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่แสดงออกทางสีหน้าบ่อยครั้ง เช่น การหรี่ตาหรือขมวดคิ้ว มักจะสังเกตเห็นรอยย่นถาวรปรากฏขึ้นรอบดวงตาหรือที่หน้าผาก
ซึ่งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวอย่างมอยเจอร์ไรเซอร์และเซรั่ม จะไม่สามารถหยุดริ้วรอยแห่งวัยได้ อย่างไรก็ตาม การดูแลผิวด้วยส่วนผสมที่ออกฤทธิ์ เช่น เรตินอลและกรดไฮยาลูโรนิก อาจชะลอสัญญาณแห่งวัยและปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏบนผิวได้
เริ่มต้นอย่างมีระสิทธิภาพ
American Academy of Dermatologists (AAD) แนะนำให้ผู้ใหญ่ทุกคนใช้มอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดทุกวัน ซึ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย ที่สำคัญ 2 อย่างที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีและทำให้ผิวเนียนนุ่ม
AAD ยังแนะนำให้ผู้คนสร้างกิจวัตรการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพในช่วงอายุ 40 และ 50 ปี ซึ่งรวมถึงการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ระบุว่าต่อต้านริ้วรอยและครีมกันแดด
อย่างไรก็ตาม ผู้คนสามารถใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณสมบัติในการต่อต้านริ้วรอยได้เร็วขึ้น เช่น กรดไฮยาลูโรนิก, เรตินอล และวิตามินซี เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจต่อต้านการอักเสบ, เพิ่มความชุ่มชื้น หรือเพิ่มความกระจ่างใส ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้ผู้คนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ต่อริ้วรอยตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้คนในวัย 20 ปีจำเป็นต้องซื้อครีมต่อต้านริ้วรอยโดยเฉพาะ มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมากมายที่มีส่วนผสมที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและเต่งตึงโดยไม่ถูกระบุว่าต่อต้านริ้วรอย
ผู้ที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน อาจสังเกตเห็นริ้วรอยปรากฏขึ้นเร็วขึ้น ผู้สูงอายุอาจประสบปัญหาผิว เช่น ผิวแห้ง, คัน และจุดด่างดำควบคู่ไปกับริ้วรอย การให้ความชุ่มชื้นทุกวันสามารถช่วยปลอบประโลมผิว ในขณะที่การทาครีมกันแดดทุกวัน สามารถปกป้องผิวและป้องกันไม่ให้เกิดจุดด่างดำเกิดขึ้นได้
สารออกฤทธิ์ในการดูแลผิวทำงานอย่างไร
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวยุคใหม่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์มากกว่าที่เคย แต่อาจสร้างความสับสน เนื่องจากมีตัวเลือกมากมาย
วิตามินซี (L-ascorbic acid)
ช่วยปรับผิวที่อ่อนล้าหรือหมองคล้ำให้สว่างสดใส พร้อมปกป้องผิวจากการทำลายของสภาพแวดล้อม เช่น มลภาวะ, อนุมูลอิสระ และรังสียูวี
กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic acid)
ทำหน้าที่เป็นสารอุ้มน้ำ, กักเก็บความชุ่มชื้นกับผิว เพื่อให้ผิวดูอิ่มเอิบ สามารถใช้ได้ในทุกวัย หลังล้างหน้าและก่อนทามอยเจอร์ไรเซอร์ ทั้งเช้าหรือเย็น
เรตินอล (Retinol)
กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง, ลดการปรากฏของริ้วรอยและรอยเหี่ยวย่น แนะนำสำหรับอายุ 30-40 ปี โดยเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า (0.01%) ก่อน ค่อย ๆ ขยับไปที่ความเข้มข้นปานกลาง (0.04–0.1%) จากนั้นให้ความเข้มข้นสูง (0.5–1%) แนะนำให้ใช้ตอนเช้า
กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHAs)
ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว เปลือก AHA หรือที่เรียกว่าเปลือกไกลโคลิกสามารถช่วยจัดการกับความเสียหายจากแสงแดดและรอยดำ ตลอดจนริ้วรอยและร่องลึก แนะนำสำหรับอายุ 20-30 ปี หลังล้างหน้าและก่อนทามอยเจอร์ไรเซอร์ ห้ามใช้ควบคู่กับเรตินอล เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้ วันเว้นวัน หรือตอนเย็น ส่วนการผลัดเซลล์ผิวด้วย AHA แนะนำสำหรับอายุ 30-40 ปี และไม่ควรเกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
คอปเปอร์เปปไทด์ (Copper peptide)
ช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน รวมทั้งทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงวัยหมดประจำเดือนที่ระดับคอลลาเจนลดลง แนะนำสำหรับอายุ 30-40 ปี ใช้เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์หรือเซรั่มหลังล้างหน้า เช้าหรือเย็น
สารสกัดจากธรรมชาติ
ส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากพืชและสมุนไพร ถูกใช้เป็นวิธีการดูแลผิวมาเป็นเวลาหลายพันปี
1.โพลีฟีนอล (Polyphenols)
โพลีฟีนอลเป็นสารประกอบที่ได้รับจากการรับประทานพืชและอาหารเสริม โพลีฟีนอลมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยปกป้องผิวจากแสงยูวี จากการวิจัยในปี 2021 พบว่า อาหารที่อุดมด้วยโพลีฟีนอลหลายชนิดสามารถช่วยในการหยุดหรือย้อนกลับสัญญาณของริ้วรอยผิว ได้แก่ ชาเขียว, โกโก้, มะม่วง และแอปเปิ้ล
แม้ว่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวบางประเภทจะมีส่วนผสมที่อุดมด้วยโพลีฟีนอลอยู่แล้ว แต่คุณอาจเสริมด้วยการรับประทานอาหารเหล่านี้เพิ่มเติมในชีวิตประจำวัน
2.ว่านหางจระเข้ (Aloe vera)
ว่านหางจระเข้ถูกใช้เป็นยาตามธรรมชาติเพื่อช่วยในการรักษาบาดแผล อย่างไรก็ตาม การวิจัยพบว่าสามารถใช้เป็นส่วนผสมต่อต้านริ้วรอยแห่งวัยที่มีประสิทธิภาพ ในปี 2015 มีการศึกษาผลของว่านหางจระเข้ที่นำมาเป็นอาหารเสริมในช่องปากโดยผู้หญิงชาวญี่ปุ่น 58 คนที่มีผิวแห้ง พบว่าช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนและกรดไฮยาลูโรนิก และลดความลึกของริ้วรอยโดยเฉลี่ยในอาสาสมัคร
งานวิจัยอื่น ๆ ได้สนับสนุนสิ่งนี้ โดยมีการทบทวนในปี 2021 ระบุว่าโพลีฟีนอลในว่านหางจระเข้สามารถปรับปรุงริ้วรอยและความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างมาก
3.สารสกัดจากข้าวหอมมะลิ (Jasmine rice extract)
การศึกษากับอาสาสมัคร 24 คนในปี 2016 เพื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีสารสกัดจากข้าวหอมมะลิ นักวิจัยพบว่าช่วยกระชับผิว และดูเรียบเนียนขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนจุดด่างดำบนผิวและช่วยป้องกันริ้วรอย
4.ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง (Bee products)
ผลิตภัณฑ์จากผึ้ง เช่น น้ำผึ้ง, โพลิส, นมผึ้ง, เกสรผึ้ง หรือแม้แต่พิษผึ้ง มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผิว การทดลองการใช้ผลิตภัณฑ์จากผึ้งในโรคผิวหนังและการดูแลผิว ในปี 2020 พบว่าโพลิสเป็นที่รู้จักในการขจัดริ้วรอย ในขณะที่พิษผึ้งสามารถให้ประโยชน์แก่ผิวที่ต้องเผชิญกับรังสียูวีที่เป็นอันตราย นมผึ้งยังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องคุณสมบัติในการให้ความชุ่มชื้นและต่อต้านริ้วรอย
เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เพื่อป้องกันริ้วรอยกรอนวัย
AAD แนะนำให้ผู้คนพิจารณาแนวทางการใช้ชีวิตต่อไปนี้ เพื่อปรับปรุงลักษณะที่ปรากฏของผิวและป้องกันริ้วรอยก่อนวัยของผิว
- ทากันแดดที่มีค่า SPF30 (หรือมากกว่า) ทุกวันและหลีกเลี่ยงแสงแดด
- งดเว้นจากเตียงอาบแดดหรืออุปกรณ์อาบแดดในร่มอื่น ๆ
- เลิกบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์น้อยลง
- หลีกเลี่ยงการแสดงสีหน้าซ้ำ ๆ เช่น หรี่ตา ซึ่งการสวมแว่นกันแดดสามารถช่วยได้
- ออกกำลังกายและรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่สมดุล
- ทำความสะอาดผิววันละ 2 ครั้ง อย่างอ่อนโยนโดยไม่ต้องขัด
- ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ทุกวัน
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อาจก่อให้เกิดรอยแดงหรือผิวไหม้
จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะพบผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจน ผู้คนในวัย 20 ปีสามารถเริ่มใช้ ผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย เหล่านี้ในการดูแลผิวเป็นประจำ แต่ในวัย 40 และ 50 ปีอาจสังเกตเห็นผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ผู้ที่ต้องการจัดการกับริ้วรอยแห่งวัยอาจพิจารณาปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อหารือเกี่ยวกับการรักษาและขั้นตอนเพิ่มเติมที่สามารถช่วยลดสัญญาณของริ้วรอยหรือความเสียหายของผิวหนัง รวมทั้งสารเติมเต็ม, การรักษาริ้วรอย และการผลัดผิวใหม่ที่ความเข้มข้นสูง, สารออกฤทธิ์ในการดูแลผิวบางชนิด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ผิวลอกหรือผิวแห้ง, เกิดสิว รอยแดงหรือรอยไหม้ หากเป็นเช่นนี้ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันทีและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
Resource : https://www.medicalnewstoday.com