RDS ภาวะร้าย อันตรายทารกแรกเกิด

RDS ภาวะร้าย อันตรายทารกแรกเกิด

ความปรารถนาสูงสุดของคุณแม่ตั้งครรภ์ แน่นอนว่าคือต้องการให้ลูกสุดที่รักนั้นลืมตาออกมาดูโลกด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ครบถ้วน แต่ทั้งนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในระหว่างการตั้งครรภ์ของคุณแม่นั้นอาจเกิดความผิดพลาดที่ทำให้ลูกในครรภ์ต้องเผชิญกับภาวะผลิตปกติได้

ซึ่งหนึ่งในภาวะผิดปกติที่พบได้บ่อย และมีความอันตรายถึงขั้นทำให้เด็กเสียชีวิตได้เลยนั้นก็ได้แก่ ภาวะ RDS” ซึ่งจะเป็นกลุ่มอาการแบบไหน และมีวิธีการป้องกันรักษาดูแลอย่างไร วันนี้ทางโรงพยาบาลพญาไท 3 มีคำตอบมาฝากกันครับ เพื่อให้ว่าที่คุณแม่มือใหม่ ตั้งครรภ์ได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น

RDS คืออะไร ทารกกลุ่มไหนเสี่ยงภัยมากที่สุด?

“RDS” หรือ “Respiratory Distress Syndrome” คือภาวะหายใจลำบากของทารกตั้งแต่กำเนิด ซึ่งเกิดจากการที่ตัวเนื้อปอดยังสร้างไม่สมบูรณ์ ยังได้รับสาร Surfactant หรือ สารลดแรงตึงผิวครบถ้วน อันมีผลทำให้ปอดแฟบ หายใจเข้าออกได้อย่างไม่เป็นปกติ หรือหากเป็นรุนแรง ทารกก็จะไม่สามารถหายใจเองได้

ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ นั้น เป็นผลมาจากการคลอดก่อนกำหนด แต่ทั้งนี้ เด็กที่อยู่ในครรภ์ครบกำหนดนั้น ก็สามารถพบว่าเป็นภาวะRDS ได้เช่นกัน แต่จะมีจำนวนน้อยกว่ามาก โดยถ้าหากมีก็จะเป็นสาเหตุมาจากปัจจัยส่งเสริมอื่น ๆ อาทิ คุณแม่มีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลทำให้ปอดของทารกพัฒนาช้ากว่าอายุครรภ์จริงนั่นเอง

ปัจจัยใดบ้าง คือหนทางเสี่ยงให้คลอดก่อนกำหนดจนเสี่ยงเป็น RDS?

ปัจจัยที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด จนทำให้ทารกน้อยที่คลอดออกมามีโอกาสเสี่ยงเป็นRDS มีภาวะหายใจลำบากนั้น สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ประการหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

  • ปัจจัยด้านมารดา โดยหากคุณแม่มีอายุมาก มีโรคประจำตัวมาก อาทิ เป็นโรคหัวใจ โรคไต หรือระหว่างตั้งครรภ์มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ครรภ์เป็นพิษ ก็จะมีโอกาสทำให้เด็กไม่แข็งแรง คลอดก่อนกำหนด และเสี่ยงเป็นภาวะRDS ได้
  • ปัจจัยด้านเด็กทารก หากพบว่าตัวเด็กเองมีภาวะผิดปกติ เช่น มีความพิการแต่กำเนิด มีโครโมโซมที่ผิดปกติ ก็สามารถทำให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ หรือในกรณีของการตั้งครรภ์แฝด ไม่ว่าจะแฝด 2 3 หรือมากกว่านั้น ก็สามารถเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้คลอดก่อนกำหนด จนเสี่ยงภาวะRDS ได้เช่นกัน
  • ปัจจัยด้านอื่น ๆ เช่น คุณแม่มีการติดเชื้อแอบแฝง หรือ รกมีความผิดปกติ อาทิ รกเกาะต่ำ จนทำให้มีภาวะเลือดออกง่าย ก็เป็นสาเหตุที่กระตุ้นให้คุณแม่เจ็บครรภ์ จนคลอดก่อนกำหนดได้

ทารกที่เป็น RDS มีอาการสังเกตอย่างไร?

อาการของทารกที่เป็นภาวะ RDS หรือ ภาวะหายใจลำบากนั้น จะพบได้ตั้งแต่แรกคลอด คือ แพทย์และทุกคนจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า เด็กมีอาการหายใจเหนื่อยตั้งแต่คลอดออกมา ซึ่งหากไม่ได้รับความช่วยเหลือ ก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ ทั้งนี้ ยิ่งเด็กที่คลอดออกมาก่อนกำหนดมาก ๆ หรือมีอายุครรภ์น้อย ๆ จะยิ่งมีโอกาสเกิดภาวะหายใจลำบากที่รุนแรงมากกว่าเด็กที่มีอายุครรภ์มากกว่า เพราะตัวเนื้อปอดสมบูรณ์น้อยกว่า

วินิจฉัยและรักษาอย่างไร เมื่อเป็น RDS หายใจลำบาก?

ในการวินิจฉัยนั้น แพทย์จะตรวจสอบตั้งแต่แรกจากประวัติส่วนตัวว่าเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือไม่ จากนั้นก็ตรวจร่างกาย ร่วมกับการฟังเสียงปอดว่าลมเข้าได้ดีหรือเปล่า ก่อนจะเอ็กซเรย์เพื่อให้ได้ผลตรวจที่ชัดเจน โดยหากผลเอ็กซเรย์ออกมาเป็นฝ้าขาว มีลักษณะของการขยายปอดที่ไม่ดี ร่วมกับเด็กมีอาหารหายใจลำบาก หอบเหนื่อย ก็แสดงว่ามีภาวะRDS และจะต้องรีบทำการรักษา

เนื่องจากภาวะ RDS เป็นภาวะที่ปอดผิดปกติ ดังนั้น การรักษาหลักจึงเป็น “การช่วยหายใจ” ซึ่งจะช่วยอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ “ความรุนแรงของโรค” เพราะเด็กอายุครรภ์ไม่เท่ากัน อาการก็จะรุนแรงต่างกัน ยิ่งอายุครรภ์น้อย ก็จะยิ่งรุนแรงมาก โดยระดับของการรักษาภาวะRDS ด้วยวิธีการช่วยหายใจนั้น มีดังต่อไปนี้

  • อาการไม่รุนแรง เด็กสามารถหายใจเองได้ในระดับหนึ่ง แพทย์จะทำการรักษาด้วยการให้ออกซิเจนธรรมดา แล้วไม่นานเด็กก็จะปรับตัวได้ หายใจได้ดีมากขึ้น
  • อาการระดับกลาง เด็กมีภาวะหายใจลำบากค่อนข้างมาก แพทย์จะพิจารณาใช้เครื่องช่วยหายใจที่ใส่ผ่านจมูก เพื่อดันอากาศและออกซิเจนเข้าไปในปอดของเด็ก เพื่อให้ปอดที่แฟบขยายตัว ร่วมกันกับการให้ออกซิเจนเพื่อให้ร่างกายเด็กแลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีขึ้น จนกระทั่งหายเป็นปกติ
  • อาการระดับรุนแรงมาก ในกรณีที่เด็กหายใจเองไม่ได้เลย ไม่สามารถใส่เครื่องช่วยหายใจผ่านทางจมูกได้ แพทย์จะใช้การรักษาด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจ และใช้เครื่องช่วยหายใจแบบ 100%

สำหรับการรักษาภาวะRDS นั้น นอกจากการให้ออกซิเจนและเครื่องช่วยหายใจแล้ว อีกส่วนหนึ่งคือ “การรักษาภาวะปอดที่ไม่สมบูรณ์” ซึ่งทำได้ด้วยการพ่นสาร Surfactant หรือ สารลดแรงตึงผิวให้เด็ก เพื่อให้ปอดขยาย ซึ่งจะทำให้เด็กค่อย ๆ มีอาการที่ดีขึ้น และลดจำนวนวันที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจลงได้ ทั้งนี้ โดยปกติปอดคนเราจะมีการสร้างสาร Surfactant เองอยู่แล้วตลอดชีวิต

ดังนั้น เมื่อเด็กคลอดออกมาก่อนกำหนด ยังมีสาร Surfactant ไม่สมบูรณ์ แพทย์ก็จะช่วยพ่นเพิ่มเติมให้ไปก่อน จนหลังจากที่เด็กอายุมากขึ้น ร่างกายปรับตัวได้ดีขึ้น เซลล์ปอดก็จะสามารถสร้างสาร Surfactant เองได้ อาการก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถกลับมาหายดี หายใจได้เองเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการรักษาจะเร็วหรือนานแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับอาการความรุนแรงของเด็กแต่ละคน ซึ่ง ณ ปัจจุบัน เด็กที่คลอดต่ำกว่า 23 สัปดาห์ส่วนใหญ่จะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ แต่ถ้าเกิน 23 สัปดาห์ขึ้นไป ร่วมกับมีน้ำหนักตัวเกิน 400 กรัมขึ้นไป ก็จะมีโอกาสรอดเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาในการรักษายาวนานหลายสัปดาห์ถึงขั้นเป็นเดือน

ดูแลครรภ์อย่างไร ไม่ให้เสี่ยงภัยคลอดก่อนกำหนด ?

วิธีการรักษา RDS หรือ ภาวะหายใจลำบากในทารกแรกเกิดนั้น จริง ๆ แล้วคือ การดูแลครรภ์ให้ดีที่สุด ให้เด็กคลอดออกมาด้วยอายุครรภ์ที่ครบกำหนด 9 เดือน หรือ 40 สัปดาห์ ทั้งนี้ แนวทางในการดูแลคครรภ์ให้ดีนั้น สามารถทำได้โดย

1.ในระหว่างฝากครรภ์ คุณแม่ต้องไปพบคุณหมอสูตินารีแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเข้ารับการตรวจคัดกรองดูว่ามีภาวะเสี่ยงหรือเปล่า

2.ในกรณีที่ตรวจแล้วพบว่าคุณแม่มีภาวะเสี่ยง เช่น อายุเยอะ คือตั้งครรภ์เกินอายุ 35 ปีขึ้นไป มีภาวะเบาหวาน ตั้งครรภ์แฝด หรือครรภ์เป็นพิษ จะถือว่าเป็น High Risk Pregnancy คือ เป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด ซึ่งก็จะได้รับการดูแลแบบเฉพาะทางพิเศษอย่างใกล้ชิด

3.หมั่นสังเกตอาการตัวเองว่ามีอาการผิดปกติใดเกิดขึ้นหรือเปล่า เพื่อรีบมาพบแพทย์ได้ทันเวลา เพราะหากมีอาการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด และมาพบแพทย์ได้ทัน บางภาวะสามารถให้ยายับยั้งไม่ให้คลอดก่อนกำหนดได้ ก็จะทำให้เด็กปลอดภัยจากภาวะ RDS มากขึ้น หรือมีอาการที่ไม่รุนแรงมากนักเมื่อคลอด

ทั้งนี้ อาการผิดปกติที่ต้องรีบมาพบแพทย์ ได้แก่ เจ็บท้องผิดปกติ มีมูกเลือดทางช่องคลอด รู้สึกไม่แน่ใจว่ามีน้ำอะไรไหลออกมาจากช่องคลอด พบภาวะลูกดิ้นน้อยลง หรือคุณแม่มีไข้ มีตกขาวที่เหม็น หรือเจ็บท้องน้อย เป็นต้น

หออภิบาลทารกแรกเกิดวิกฤติ ศูนย์ช่วยชีวิตทารกไม่แข็งแรง

NICU หรือ Neonatal Intensive Care Unit คือ หออภิบาลทารกแรกเกิดวิกฤติ ที่ทำหน้าที่ดูแลทารกแรกเกิดที่คลอดออกมาแล้วมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะร้ายแรงขนาดไหน ก็สามารถดูแลได้ทั้งหมด เปรียบเสมือนเป็น ICU ของเด็กทารกโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ใช่ทุกโรงพยาบาลจะมีศูนย์ NICU นี้ได้ เพราะจำเป็นต้องมีความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งต้องเป็นแพทย์ พยาบาล และทีมที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางโรคเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ รวมถึงต้องมีเครื่องมือและเทคโนโลยีในการรักษาที่ครบครันด้วย

ดังนั้น ในทางเลือกของคุณแม่สำหรับการฝากครรภ์ ก็อาจจำเป็นต้องคำนึงถึงการใช้บริการโรงพยาบาลที่มีศูนย์ NICU อยู่ด้วย เพื่อให้มั่นใจได้ว่า หากเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมา จะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที และทำให้ทั้งแม่และลูกมีโอกาสรอดชีวิตสูงมากขึ้น

Preterm Infant Center ศูนย์ดูแลคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกคลอดก่อนกำหนด

เนื่องด้วยการคลอดก่อนกำหนด หรือ Preterm นั้น เป็นสาเหตุหลักสำคัญที่ทำให้ทั้งคุณแม่และทารกน้อยเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายได้มากที่สุด ดังนั้น โรงพยาบาลพญาไท 3 จึงให้ความสำคัญกับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ผ่านศูนย์ Preterm Infant Center ที่เพียบพร้อมไปด้วยบุคลากรทางการแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดลงให้ได้มากที่สุด

ในขณะเดียวกันก็เตรียมพร้อมสำหรับการดูแล รักษา และช่วยเหลือคุณแม่และทารกที่คลอดก่อนกำหนดให้สามารถกลับมามีชีวิตที่มีความสุขและมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ให้ได้ โดยด้วยจำนวนบุคลากร และความพร้อมทั้งหมดที่มี จึงทำให้คุณแม่ทุกคนอุ่นใจได้เลยว่า จะได้รับการดูแลอย่างทั่วถึงและดีที่สุด

แม้RDS หรือภาวะหายใจลำบากของทารกตั้งแต่แรกเกิดนั้น จะมีอันตรายจนถึงขั้นทำให้เด็กเสียชีวิตได้ แต่ก็ถือเป็นโรคที่เป็นเพียงแค่ชั่วคราว และสามารถรักษาให้หายขาด กลับมาหายใจ และใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติได้ ซึ่งทั้งหมด ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 2 ส่วนคือ การดูแลครรภ์ที่ดีของคุณแม่ ร่วมกับการฝากครรภ์กับโรงพยาบาลที่มีความพร้อมทุกด้าน ในการดูแลคุณแม่ตั้งตั้งครรภ์โดยเฉพาะ

ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท และเพื่อให้เจ้าตัวเล็กของเราลืมตาขึ้นมองเห็นโลกใบนี้ได้ด้วยรอยยิ้มและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ การใส่ใจในการดูแลตัวเองระหว่างตั้งครรภ์ รวมถึงการตัดสินใจเลือกโรงพยาบาลในการฝากครรภ์ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณแม่ต้องเลือกให้ดีที่สุด

บทความที่เกี่ยวข้อง
Scroll to Top

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า