“โรคหัด” หนึ่งในชื่อโรคที่เราอาจคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจกันว่าจะพบได้เฉพาะในเด็กเท่านั้น แต่ทั้งนี้ ผู้ใหญ่เองก็สามารถเป็น โรคหัด ได้เช่นกัน โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยปัจจุบันอุบัติการณ์ของ โรคหัด จัดอยู่ในภาวะที่ทั่วโลกต่างเฝ้าระวัง ตามคำประกาศเตือนขององค์การอนามัยโลก เพราะสามารถติดต่อแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว
อีกทั้งภาวะแทรกซ้อนจากโรคหัดยังอาจเป็นอันตรายจนถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ด้วย ดังนั้น การทำความเข้าใจเรื่องโรคหัด และรู้จักจัดการป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ใหญ่ทุกคนไม่ควรมองข้าม
เพราะสาเหตุใด จึงทำให้เราเป็นโรคหัด?
โรคหัด เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Measles ถือได้ว่าเป็นโรคที่มีอาการแสดงโดดเด่นชัดเจนสังเกตง่าย คือ จะมีผื่นสีน้ำตาลแดงขึ้นตามร่างกาย ซึ่งแม้เมื่อเป็นแล้วจะสามารถหายเองได้ภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ทว่าในผู้ป่วยบางราย ก็อาจพบภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงจนกระทั่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ทั้งนี้ โรคหัดเป็นโรคที่พบได้บ่อยตลอดทั้งปี แต่มักมีการแพร่ระบาดสูงในช่วงหน้าร้อน โดยโรคหัดสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้ง่ายมากผ่านทางลมหายใจ การสัมผัส ซึ่งเชื้อไวรัสโรคหัดจะแพร่ระบาดจากละออง ไอ จาม ของคนไข้ที่กระจายอยู่ในอากาศ ทำให้หากมีคนอื่นที่อยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกันที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดสูดหายใจเข้าไป หรือสัมผัสถูกเชื้อแล้วนำไปขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบอาหารรับประทาน ก็จะมีโอกาสติดโรคหัดได้
สังเกตอาการอย่างไร ถึงจะแน่ใจว่าเป็นโรคหัด?
เริ่มแรกอาการของโรคหัดจะมีลักษณะคล้ายการเป็นหวัด คือจะมีอาการคัดจมูก ไอ จาม และมีไข้สูง ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีความรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อย ปวดเมื่อย ไม่อยากอาหาร เป็นต้น แต่ทั้งนี้ อาการแสดงสำคัญของโรคหัดที่สามารถทำให้เราสันนิษฐานได้ว่าตัวเราอาจเป็นโรคหัดได้นั้น ก็คือ
- มีจุดสีเทาขาวภายในกระพุ้งแก้ม
- มีผื่นสีน้ำตาลแดงขึ้นตามร่างกาย โดยเริ่มจากศีรษะ คอ และลามไปตามร่างกาย
- ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันจากผื่นร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนอันตราย ที่อาจเกิดได้เมื่อเป็นโรคหัด
จากสถิติพบว่าในผู้ป่วยโรคหัดทุก ๆ 1,000 ราย จะมีผู้ป่วยที่โชคร้ายเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต 1 ราย ซึ่งถึงแม้ตัวเลขจะดูน้อย แต่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงความอันตรายของโรคหัดที่เราควรใส่ใจและให้ความสำคัญในการป้องกันรักษา โดยภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคหัดอาจเป็นได้ทั้งการเกิดอาการผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ อาทิ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ รวมถึงอาจเป็นการเกิดอาการผิดปกติในระบบประสาท อย่างเช่น ภาวะสมองอักเสบ ก็ได้ ซึ่งแม้จะมีโอกาสเกิดได้น้อย แต่ก็ถือว่าอันตรายมาก
รักษาอย่างไร เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคหัด?
เมื่อแพทย์ทำการวินิจฉัยโรคหัดจากอาการแสดง ซึ่งรวมถึงลักษณะของผื่น โดยเฉพาะการพบจุดขาวที่กระพุ้งแก้ม และจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการจนมั่นใจแล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคหัด การรักษาจะเป็นไปในลักษณะของการประคับประคองตามอาการ
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโดยตรง เช่นหากพบว่าผู้ป่วยมีไข้ ก็ให้ยาลดไข้ บรรเทาปวด ควบคู่ไปกับการให้คนไข้ได้พักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำมาก ๆ โดยแยกคนไข้ออกจากคนอื่น ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ และเฝ้าดูอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ จนกระทั่งการดำเนินของโรคหายไปเองในที่สุด ซึ่งก็จะใช้ระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน
ป้องกันอย่างไร ให้ห่างไกลจากโรคหัด?
แม้ว่าโรคหัดจะเป็นโรคที่เมื่อเป็นแล้วสามารถหายเองได้ก็จริงอยู่ แต่หนทางที่ดีที่สุดคือการที่เราดูแลป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคนี้เลยดีกว่า ซึ่งนอกจากจะดีกับตัวเองแล้ว ก็ยังดีกับผู้อื่นด้วย เพราะถ้าหากเราไม่ป่วย ก็เท่ากับว่าเราจะไม่กลายเป็นพาหะ แพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นและสังคม
ทั้งนี้ สำหรับแนวทางในการป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคหัดนั้น สามารถทำได้ด้วยการรับวัคซีน MMR หรือ Measles, Mumps and Rubella Vaccine ซึ่งสามารถป้องกันได้ทั้งโรคหัด หัดเยอรมัน และโรคคางทูม โดยตามมาตรฐานแล้ว จะฉีดกันเข็มแรกในตอนอายุ 9-12 เดือน เข็มที่ 2 ตอนอายุ 2 ขวบครึ่ง และปัจจุบันเพื่อเป็นการควบคุมโรคให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทาง WHO แนะนำให้ฉีดกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน