เมื่อไม่นานมานี้ข่าวคราวการเสียชีวิตของดาราสาวน้ำตาล The Star ถือเป็นหนึ่งในข่าวที่ทำให้สังคมตื่นตัวอย่างมาก กับการเสียชีวิตแบบฉับพลัน โดยที่ไม่มีสัญญาณป่วยใดบอกมาก่อนล่วงหน้า ซึ่งยิ่งหลังจากที่ข่าวแถลงออกมาว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจาก “วัณโรคหลังโพรงจมูก” ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยเพิ่มเติมมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่อาจไม่เคยทราบมาก่อนว่าวัณโรคนั้น สามารถเกิดขึ้นที่อื่นได้ด้วยนอกจากปอด
ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างความเข้าใจและการรับรู้ในวงกว้าง อันนำสู่การป้องกันดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากความเสี่ยง วันนี้ เราจะไปทำความรู้จักกับ วัณโรคหลังโพรงจมูก กันให้มากขึ้น
วัณโรคหลังโพรงจมูก ถูกพบไม่บ่อยนัก แต่รุนแรงหนักถึงขั้นคร่าชีวิต
วัณโรคหลังโพรงจมูก แท้จริงแล้วก็เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อวัณโรคชนิดเดียวกันกับที่พบที่ปอด คือเป็นการที่ผู้ป่วยติดเชื้อ “ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์ คูโลซิส” (Mycobacterium Tuberculosis) แต่ทั้งนี้ แม้ส่วนใหญ่จะพบที่ปอดมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ววัณโรคสามารถเกิดขึ้นได้กับอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นกล่องเสียง คอ เยื่อหุ้มสมอง เยื่อหุ้มหัวใจ หรือวัณโรคที่กระดูกก็มี
ซึ่งสำหรับวัณโรคหลังโพรงจมูกนั้น ถือเป็นวัณโรคที่มีโอกาสพบได้น้อยมาก คือน้อยกว่า 1% ของจำนวนผู้ป่วยวัณโรคทั้งหมดในโลก และยังนับเป็นวัณโรคที่มีความร้ายแรง ถึงขั้นเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ด้วยหากตรวจพบเจอช้าและเกิดการลุกลามแทรกซ้อนไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
วัณโรคหลังโพรงจมูก มีอาการอย่างไร ทำไมถึงถูกเรียกว่าภัยเงียบ
อย่างที่ทราบกันดีว่าสัญญาณสำคัญของวัณโรค คือ “อาการไอ” ที่เป็นการไอแบบเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ซึ่งหากพบเห็นความผิดปกติดังกล่าว ก็สามารถเตือนเราได้ว่าน่าจะมีปัญหาร้ายแรงเกิดขึ้น แต่สำหรับ “วัณโรคหลังโพรงจมูก” นั้น แตกต่างออกไป คือ อาการผิดปกติส่วนใหญ่จะค่อนข้างทั่วไปและดูไม่ร้ายแรง โดยดูเหมือนแค่ป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา คือมีไข้ มีน้ำมูก คัดจมูก เหงื่อออกตอนกลางคืน น้ำหนักลด และอาจมีอาการปวดเมื่อยร่วมด้วย ซึ่งแทบจะบอกไม่ได้เลยว่าเป็นความผิดปกติที่เป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง ทำให้ผู้ป่วยวัณโรคหลังโพรงจมูกส่วนใหญ่จะไม่รู้ตัว และได้รับการตรวจพบเจอช้าว่าติดเชื้อโรค
ทั้งนี้ ผู้ป่วยวัณโรคหลังโพรงจมูก จะไม่ได้แสดงอาการไอให้เห็นเด่นชัดมากนักเหมือนกับผู้ป่วยวัณโรคปอด แต่ก็สามารถไอหนัก ไอเป็นเลือดได้ หากเป็นวัณโรคที่ปอดร่วมด้วย ซึ่งเพราะเหตุที่วัณโรคหลังโพรงจมูกไม่มีอาการแสดงที่แน่ชัดให้สังเกตเห็น จึงทำให้กลายเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว โดยจะตรวจพบได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยเข้ามารับการตรวจส่องกล้องเท่านั้น ซึ่งเมื่อส่องกล้องแล้วก็อาจพบก้อนหลังโพรงจมูกที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เช่น อาจเป็นก้อนใหญ่แบบเห็นได้ชัด วินิจฉัยได้ชัดเจน หรืออาจพบเป็นเพียงแค่รอยนูนเล็ก ๆ ก็ได้ หรือในบางรายอาจไม่พบก้อน ไม่พบความผิดปกติใด ๆ เลย จึงทำให้ไม่สามารถฟันธงได้ว่าป่วยเป็นอะไร และกลายเป็นภัยเงียบคุกคามจนเป็นอันตรายร้ายแรงในที่สุด
รักษาได้หรือไม่ เมื่อวินิจฉัยแล้วว่าเป็นวัณโรคหลังโพรงจมูก
การวินิจฉัยวัณโรคหลังโพรงจมูกนั้น ทำได้ด้วยการซักประวัติ สอบถามอาการ ร่วมกับการส่องกล้อง แล้วตัดชิ้นเนื้อไปตรวจด้วยการย้อมเพาะเชื้อ เพื่อหาคำตอบว่ามีเชื้อวัณโรคหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด เนื่องจากอาจตรวจไม่พบ ทำให้โรคลุกลามรุนแรง
แต่อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่าเป็นวัณโรคจริง ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยา โดยระยะเวลาในการรักษานั้นจะเร็วหรือช้าแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการรับประทานยาสม่ำเสมอ และการดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งโดยปกติแล้วอย่างน้อยจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน จึงหายขาดแน่นอน
ใครบ้างที่เสี่ยงภัย ถูกวัณโรคหลังโพรงจมูกเข้าใกล้มากที่สุด
ในบางรายงานวิจัยระบุว่า คนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีเป็นปกติ ก็สามารถป่วยเป็นวัณโรคหลังโพรงจมูกได้ จึงทำให้อาจกล่าวได้ว่า “เราทุกคนส่วนมีความเสี่ยง” ที่จะเป็นวัณโรคหลังโพรงจมูกได้เหมือนกัน แต่จะมีโอกาสเป็นได้มากหรือน้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลร่างกายตัวเองให้แข็งแรง ดูแลตัวเองให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่ง ซึ่งแน่นอนว่า คนที่มีความเสี่ยงมากกว่า คือคนที่ป่วย มีปัญหาในเรื่องระบบทางเดินหายใจ สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยวัณโรคปอดมีโอกาสเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นวัณโรคหลังโพรงจมูกร่วมด้วย
ดูแลตัวเองอย่างไร ให้ห่างไกลจากวัณโรคหลังโพรงจมูก
ไม่ว่าจะเป็นวัณโรคหลังโพรงจมูก วัณโรคปอด หรือวัณโรคที่อวัยวะอื่น ๆ หลักในการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยและห่างไกลจากเชื้อวัณโรคนั้น ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือ “ดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโอกาสติดเชื้อให้ได้มากที่สุด” ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว โอกาสติดเชื้อวัณโรคนั้นมักจะอยู่ในสถานการณ์ที่เราอยู่ท่ามกลางแหล่งชุมชนที่มีผู้คนพลุกพล่าน อย่างห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟฟ้า หรือในสถานที่ที่มีการไอจามรดกัน อย่างโรงพยาบาล ซึ่งมีโอกาสมากที่จะทำให้เชื้อวัณโรคถูกแพร่ระบาดจากผู้ที่เป็นพาหะ หรือผู้ที่มีเชื้อวัณโรคไปสู่คนอื่น ๆ ได้
ดังนั้น แนวทางในการป้องกันดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากวัณโรคที่ง่ายและได้ผลมากที่สุด จึงทำได้ด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งถ้าต้องการให้การป้องกันมีประสิทธิภาพจริง ควรเป็นหน้ากากอนามัย N95 เพราะป้องกันเชื้อวัณโรคและเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ดีกว่า รวมไปถึงควรหมั่นล้างมือบ่อย ๆ ดูแลร่างกายตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพราะเมื่อภูมิคุ้มกันร่างกายดี ก็มีโอกาสน้อยกว่าที่จะติดเชื้อวัณโรค และสุดท้ายที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ ไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพประจำปี เพราะอย่างที่เราทราบดีว่า วัณโรคหลังโพรงจมูก ไม่ได้แสดงอาการให้เราทราบชัดเจนว่าเรากำลังป่วยอยู่
“แม้วัณโรคจะอันตราย แต่ก็สามารถรักษาหายได้ถ้าตรวจเจอ
ดังนั้น อย่าเผลอชะล่าใจไม่ตรวจสุขภาพประจำปี เพราะถ้าโชคร้าย
กว่าจะรู้ตัวอีกที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต”
พญ. นภารัตน์ จิระวัฒนผลิน
ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก
และการตกแต่งเสริมสร้างใบหน้า
โรงพยาบาลพญาไท 3