ปัจจุบันความนิยมในตัวโค้ชนักกีฬา หรือจะเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวเพื่อดูแลการฝึกซ้อมให้บรรลุเป้าหมายนั้น ถือได้ว่าค่อยๆ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่า ก็ไม่ใช่โค้ชนักกีฬาหรือเทรนเนอร์ส่วนตัวทุกคนอยู่ดี ที่จะสามารถพา “ผู้เข้ารับการฝึก” ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างที่ฝัน ทั้งนี้ สาเหตุก็มีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย แต่วันนี้เราจะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องไม่ดีของโค้ชกันครับ แต่เราจะชวนมาดูกันว่า อะไรบ้าง คือ 4 สิ่งสำคัญ ที่โค้ชนักกีฬา และเทรนเนอร์ส่วนตัวทั้งหลาย ควรทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับผู้เข้ารับการฝึกของตัวเอง เพื่อจะทำให้โอกาสในการบรรลุเป้าหมายการฝึกนั้น มีความเป็นไปได้มากที่สุด
1. อย่าใช้ปาก มากกว่าการสาธิตให้เห็นภาพ
การสื่อสารระหว่างโค้ชกับนักกีฬา หรือเทรนเนอร์กับผู้รับการฝึก ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าหากผู้ฝึก ไม่สามารถทำให้ผู้รับการฝึกเข้าใจและปฏิบัติตามได้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการฝึกได้ก็จะมีค่าเท่ากับศูนย์ ทั้งนี้ โค้ชและเทรนเนอร์ที่ดี จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการ “สาธิต” หรือ “การแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง” ให้มากกว่าการ “พูดอธิบาย” เพราะ ลำพังเพียงแค่การฟังคำบอกเล่าจากปากโค้ช ผู้รับการฝึกคงไม่สามารถจัดท่าทางและปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเมื่อการ “สาธิต” เป็นสิ่งสำคัญ นั่นหมายความว่า “การเตรียมการสาธิต หรือการเตรียมการสอนแต่ละครั้ง” จึงเป็นสิ่งสำคัญที่โค้ชและเทรนเนอร์ต้องทุ่มเทเตรียมให้เรียบร้อยก่อนการฝึกทุกครั้งด้วย เพื่อให้การฝึกออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด
2. แก้ไขข้อผิดพลาดให้ทันท่วงที
สืบเนื่องจากการ “สาธิต” ให้กับผู้เข้ารับการฝึก เมื่อถึงช่วงเวลาของการลงมือปฏิบัติ โค้ชและเทรนเนอร์ จะต้องสามารถที่จะ “แก้ไขของผิดพลาด” ของผู้รับการฝึกได้ และควรต้องแนะนำทันที ว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไร จัดท่าทางของผู้รับการฝึกให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องเสมอ สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไข คือ ต้องทำให้ผู้รับการฝึกเข้าใจให้ได้ว่า แบบที่ผิดคืออะไร เพราะอะไรถึงผิด แบบที่ถูกคืออะไร เพราะอะไรถึงถูก และการทำผิดกับทำถูกต้องนั้น ส่งผลลัพธ์อย่างไรต่อตัวผู้เข้ารับการฝึก โค้ชและเทรนเนอร์ที่สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดของนักกีฬาและผู้เข้ารับการฝึกได้ดี จะสามารถทำให้เกิดความเชื่อมั่น เชื่อฟัง ศรัทธา อันนำไปสู่ผลลัพธ์ของการฝึกที่พัฒนาจนกระทั่งบรรลุวัตถุประสงค์ของการฝึกได้ในที่สุด
3. ฝึกแบบมีแผน และมีการวัดผล
การมีแผนการฝึกซ้อมที่ชัดเจน มี Timeline มีรูปแบบการฝึกที่แจกแจงรายละเอียด และมีแนวทางการวัดผลที่จับต้องได้ คือสิ่งที่โค้ชและเทรนเนอร์ควรทำให้ผู้ฝึกได้เห็นว่า พวกเขาจะได้รับการฝึกอย่างไรบ้าง ในระยะเวลาเท่าไร เพื่อจะเดินทางไปสู่จุดหมายที่ตั้งใจ ทั้งนี้ แผนการฝึกหรือโปรแกรมการฝึกซ้อมนั้น ก็ไม่ควรที่จะเป็น “แผนของใครก็ได้” แต่ควรเป็นแผนที่ถูกจัดทำขึ้นมาโดยการวิเคราะห์ “ผู้ฝึกแต่ละคนโดยเฉพาะ” เพื่อให้ได้แผนที่เหมาะสมกับผู้ฝึกจริงๆ
ทั้งนี้ การฝึกตามสัญชาตญาณโค้ช ตามประสบการณ์เทรนเนอร์ ที่บอกว่าต้องทำแบบนี้แบบนั้น โดยไร้การวางแผน ถือเป็นรูปแบบการฝึกที่ไม่ควรทำ เพราะไม่เพียงแต่จะเป็นการแสดงออกถึงความไม่ใส่ใจในตัวของผู้ฝึกเท่านั้น แต่ยังเป็นรูปแบบการฝึกที่จะนำทางไปสู่ความล้มเหลว เพราะ ผู้เข้ารับการฝึกแต่ละคนมีสภาพร่างกายต่างกัน มีจุดอ่อนจุดแข็งต่างกัน ดังนั้น การใช้แผนของคนๆ หนึ่ง หรือการใช้ประสบการณ์เพียวๆ จึงไม่สามารถทำให้ผู้ฝึกทุกคนไปถึงเป้าหมายได้
4. วางรากฐานการฝึกให้ไกลกว่าในชั่วโมงฝึก
โค้ชและเทรนเนอร์จำเป็นต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า ผู้เข้ารับการฝึกใช้เวลาอยู่กับเราเพียงแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง และไม่กี่วันต่อสัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นแล้ว การวางรากฐาน สร้างแรงจูงใจ และความมุ่งมั่นให้ผู้เข้ารับการฝึก สามารถนำ “ความรู้ความเข้าใจ” ที่ได้จากการฝึก ไปปรับใช้ในชั่วโมงอื่นๆ ของชีวิต จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้เป้าหมายของผู้เข้ารับการฝึกมีโอกาสบรรลุผลมากขึ้น การทำเต็มที่ที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ผู้เข้ารับการฝึกอยู่กับเราเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่ดีที่สุดนั้นคือ การทำให้ชั่วโมงฝึกของเรากับเขา กลายเป็น “หลักยึดสำคัญ” ที่ให้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากทำได้ จะเป็นการทำให้ความสำเร็จในอนาคตที่เป็นเป้าหมาย มีโอกาสสำเร็จได้มากขึ้น
โค้ชและเทรนเนอร์ คือทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ ที่จะช่วยทำให้นักกีฬาหรือผู้เข้ารับการฝึกทุกคนไปถึงเป้าหมายความสำเร็จได้อย่างที่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งแชมป์ที่อยากได้ สุขภาพที่อยากมี รูปร่างที่อยากครอบครอง ฯลฯ ทุกเป้าหมายความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากโค้ชและเทรนเนอร์ ไม่ได้อุทิศตัวเต็มที่กับการดูแลการฝึกซ้อมให้กับพวกเขา ถึงแม้ใครจะบอกว่า “ตัวผู้เข้ารับการฝึกเองต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญที่สุด” ที่จะบอกได้ว่า จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ผู้รับการฝึกทุ่มเทแค่ไหน แต่โค้ชไม่ทุ่มเทให้ทั้งกายและใจ ก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งเด็กเก่งๆ ไปอยู่กับครูที่ไม่สนใจดูแลนักเรียนนั่นแหละครับ ที่สุดท้าย ก็จะกลายเป็นการทำลายโอกาส ทำลายอนาคต ของนักเรียนที่มีอนาคตไปในที่สุด