ปัจจุบันวงการกีฬานั้น ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในวงการสำคัญที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ด้วยเพราะเป็นเรื่องของชื่อเสียง เกียรติยศ ความสำเร็จ และเศรษฐกิจของประเทศ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ หากประเทศไหนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำหรือเป็นแชมป์ในวงการกีฬาประเภทต่างๆ ได้มาก โอกาสดีๆ และความสำเร็จก็จะวิ่งเข้าหาประเทศนั้นๆ อย่างไม่หยุดยั้ง นั่นเอง ที่ทำให้ทุกประเทศต่างให้ความสำคัญกับการพัฒนาวงการกีฬาบ้านตัวเอง พัฒนาศักยภาพนักกีฬาของตัวเองอย่างเต็มที่ในทุกๆ ปี เพื่อทำผลงานให้ดีที่สุดในการแข่งขันระดับสากล
ซึ่งนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการส่งเสริมให้วงการกีฬาของประเทศต่างๆ ดีขึ้นนั้น ก็ได้แก่ “วิทยาศาสตร์การกีฬา” แต่กระนั้นก็อาจยังมีบางคนที่สงสัยว่า วิทยาศาสตร์มีผลมากขนาดนั้นเลยหรอ? ไม่ใช่เรื่องของทักษะหรอที่สำคัญที่สุดสำหรับการแข่งกีฬา? วันนี้เราเลยมี 5 เหตุผลที่เป็นข้อเท็จจริง ที่ชี้ให้เห็นว่า วิทยาศาสตร์การกีฬานั้น มีส่วนสำคัญมากๆ สำหรับสำหรับการคว้าแชมป์ของนักกีฬา มาฝากกันครับ
1. เพราะรู้จักร่างกายดีเท่าไร ก็ใช้ร่างกายได้ดีเท่านั้น
จริงอยู่ที่การแข่งขันกีฬานั้น “ทักษะ” เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะแน่นอนใครเก่งกว่า คนนั้นก็ย่อมมีโอกาสชนะได้มากกว่า แต่ทั้งนี้บางทีเราอาจลืมไปว่า “ทักษะ” เป็นเพียงแค่ “ผลของร่างกาย” เท่านั้น กล่าวคือ นักกีฬาจะแสดงทักษะนั้นออกมาได้ดีมากน้อยแค่ไหน มันก็ต้องเกิดมาจากการที่เขา “ใช้ร่างกายของเขาอย่างมีประสิทธิภาพด้วย” ซึ่งวิทยาศาสตร์การกีฬานั้น จะทำให้เรารู้จัก “ร่างกายของนักกีฬาแบบทะลุปรุโปร่ง” คือรู้รูปร่าง สัดส่วน กระดูก กล้ามเนื้อ ข้อต่อ เอ็น หัวใจ ปอด ฯลฯ รู้ว่าร่างกายของนักกีฬาแต่ละคนทำงานอย่างไร สอดประสานรับกันได้ดีแค่ไหน
ซึ่งพอรู้แบบนี้แล้ว ก็จะทำให้เห็นข้อผิดพลาด ทำให้เห็นว่า ต้องปรับปรุงพัฒนาอย่างไร จึงจะทำให้ “ร่างกายสามารถตอบสนองการใช้ทักษะออกมาได้อย่างดีที่สุด” ลองคิดดูนะครับว่า คนเราจะวิ่งเก่งได้อย่างไร ถ้ายังไม่รู้ว่าต้องก้าวขาอย่างไร ถึงวิ่งได้เร็ว ก้าวขาอย่างไรให้ร่างกายไม่บาดเจ็บและวิ่งได้ต่อเนื่อง ตลอดจนขาสั้น ขายาว ตัวสูง ตัวเตี้ย ต้องวิ่งยังไง ถึงจะชนะคู่แข่งที่มีรูปร่างต่างจากเราได้ เพราะวิทยาศาสตร์การกีฬา ทำให้เรารู้จักร่างกายของเราเป็นอย่างดี และเพราะการรู้จักร่างกายเป็นอย่างดี ทำให้เราแสดงทักษะ ฝึกฝนทักษะ จนสามารถแสดงศักยภาพร่างกายออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนี้เอง จึงเป็นเหตุผลทำให้วิทยาศาสตร์การกีฬานั้น สำคัญมากๆ กับการคว้าชัยชนะเพื่อเป็นแชมป์ในการแข่งขัน
2. เพราะอาหารคือพลังงานสำคัญเพื่อการคว้าแชมป์
ร่างกายจะดีได้ จะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ต่อเมื่อได้รับการดูแลที่ดี ซึ่งแน่นอนว่า “อาหาร” คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังอย่างที่ต้องพิถีพิถันให้มากที่สุด วิทยาศาสตร์การกีฬา สามารถแตกย่อยออกมาเป็นเรื่องราวของโภชนาการที่ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายได้ คือทำให้เราสามารถจัดอาหารที่เหมาะสมกับนักกีฬาได้เป็นอย่างดี ทั้งตอนซ้อม และตอนแข่งขัน ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าไม่ได้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบที่เหมาะสมแล้วล่ะก็ นักกีฬาที่ได้รับสารอาหาร หรือโภชนาการไม่ถูกต้องเพียงพอ ก็จะส่งผลต่อสภาพร่างกายของเขา ที่ไม่สามารถมีพลังงานสำรองเอาไว้มากพอต่อการแสดงศักยภาพร่างกายที่ดีเยี่ยมได้
อธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกนิดแบบเห็นภาพชัดๆ คือ ถ้านักกีฬาคนหนึ่งกินข้าวมาไม่พอ ไปแข่งกับนักกีฬาอีกคนที่กินข้าวมาอย่างเหมาะสม เราคิดว่าใครจะมีโอกาสชนะมากกว่ากันครับ? คำว่า “กองทัพเดินด้วยท้อง” นั้น ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย เพราะโภชนาการไม่ใช่แค่ทำให้เรามีพลังงานเดินได้ทำนั้น แต่ยังทำให้เรากระโดดได้ เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว คิด ตัดสินใจได้ดี ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนชี้ขาดได้เลยว่าในการแข่งขันนั้น ใครทำได้ดีกว่า ก็มีโอกาสชนะมากกว่า
3. เพราะนักกีฬาก็เจ็บเป็น จึงจำเป็นต้องได้รับการรักษา
วิทยาศาสตร์การกีฬา มีสาขาที่ว่าด้วยเรื่องของ “เวชศาสตร์การแพทย์และการบำบัดฟื้นฟู” ลองคิดดูนะครับว่า ถ้านักกีฬาบาดเจ็บแล้วไม่รักษาอย่างถูกต้อง จะเกิดอะไรขึ้น? อย่าว่าแต่คว้าแชมป์เลยครับ อนาคตในวงการกีฬาก็แทบจะจบสิ้นเลยก็ว่าได้ แล้วถ้ารักษาแล้ว แต่รักษาได้ไม่ดีพอล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น? แน่นอนว่าจากนักกีฬาที่เคยเก่ง วิ่งเร็ว คล่องแคล่ว กระโดดได้ไกล หลังการรักษาแล้วเขาอาจจะวิ่งได้ไม่เร็วเท่าเดิม กระโดดได้ไม่เหมือนเดิม ใช้ร่างกายได้ดั่งใจแบบเดิมไม่ได้
ซึ่งนั่นก็เท่ากับทำให้ความเก่งที่เคยมี กลายเป็นอดีตที่จะกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว และแน่นอนนั่นย่อมทำให้โอกาสในการคว้าแชมป์ก็ถูกทำให้สูญสลายไปด้วย และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในบางครั้ง นักกีฬาก็ไม่รู้หรอกครับว่า “ตัวเองมีอาการบาดเจ็บซ่อนอยู่” จึงทำให้ฝืนใช้ร่างกายจนนำมาซึ่งการบาดเจ็บร้ายแรงในที่สุดได้ด้วย เหตุผลเหล่านี้เองที่แสดงให้เห็นว่า ถ้าปราศจากวิทยาศาสตร์การกีฬาในหมวดของเวชศาสตร์การฟื้นฟู บำบัด ป้องกัน และรักษาร่างกายแล้ว นักกีฬาก็จะไม่สามารถมีสภาพร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมมากพอกับการแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่ เพื่อสร้างโอกาสในการคว้าแชมป์ได้เลย
4. เพราะเทคโนโลยี คือเครื่องมือที่ช่วยเร่งความสำเร็จ
เครื่องออกกำลังกายที่ทันสมัยกว่า เครื่องตรวจสภาพร่างกายที่ทันสมัยกว่า อุปกรณ์ฝึกซ้อมที่ทันสมัยกว่า ฯลฯ สิ่งเหล่านี้คือเทคโนโลยีที่มีส่วนในการช่วยล่นระยะเวลาความสำเร็จให้กับนักกีฬาได้ เพราะถูกสร้างมาจากความรู้ความเข้าใจในโครงสร้างร่างกาย ว่าต้องทำอย่างไรถึงอัพเกรดทักษะได้ อัพเกรดพลังได้ อัพเกรดปัจจัยสำคัญที่เป็นองค์ประกอบของความสำเร็จได้ นั่นเองจึงทำให้วิทยาศาสตร์การกีฬาในด้านของเทคโนโลยี คืออีกตัวชี้วัดหนึ่งที่จะทำให้นักกีฬาคนหนึ่งๆ เก่งกว่าอีกคนได้ ถ้าหากพวกเขาเข้าถึงอุปกรณ์ฝึกซ้อมหรือเครื่องมือที่ดีกว่า
นอกจากนั้นแล้ว เทคโนโลยีดังกล่าว ยังรวมไปถึงเทคโนโลยีทางการรักษาด้วย ที่แน่นอนว่าถ้าทันสมัยกว่า ก็ย่อมทำให้ผลการรักษาออกมาดีกว่าแบบไม่ต้องสงสัย ลองคิดดูนะครับว่า นักกีฬาที่ฝึกกับอุปกรณ์ฝึกซ้อม และได้รับการดูแลด้วยเครื่องมือที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ จะเกิดอะไรขึ้นกับเขาได้บ้าง? เอาจริงๆ คือเบื้องต้นอาจแค่เป็นรองในแง่ของการฝึกเพื่อผลลัพธ์ แต่ในขณะเดียวกันถ้าอุปกรณ์ไม่มีประสิทธิภาพจริงๆ ก็อาจทำให้เกิดอันตราย จนสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับนักกีฬาได้เช่นกันด้วย
5. เพราะกีฬาไม่ได้ใช้แค่พลังกาย แต่ต้องอาศัยพลังใจด้วย
กายพร้อม ใจไม่พร้อม ซ้อมมาดีแค่ไหน สุดท้ายอาจไปไม่พ้นรอบตัดเชือกคัดตัวด้วยซ้ำ คำพูดที่บอกว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว สามารถใช้กับวงการกีฬาได้อย่างชัดเจนครับ เพราะร่างกายเรารับคำสั่งจากสมองก็จริง แต่สมองเรามันก็สัมพันธ์กับจิตใจนั่นแหละ ถ้าใจบอกว่ากลัว ไม่กล้า ไม่มั่นใจ ไหวหวั่น การสั่งการของสมองมันก็ไม่แข็งแรงพอ จะรีดเอาศักยภาพของร่างกายออกมาใช้ง่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นึกถึงเวลาที่เรากลัวอะไรแล้วมือสั่นขาสั่นดูครับว่า จับปากกาเขียนลำบากแค่ไหน ก้าวเดิม ยืน เซ แค่ไหน นั่นแหละ ที่สะท้อนบอกเราว่า กับการแข่งขันกีฬานั้น “จิตใจที่แข็งแกร่ง” ก็สำคัญไม่แพ้ร่างกายและทักษะที่แข็งแรงเลยแม้แต่น้อย
ซึ่ง “จิตวิทยาการกีฬา” คือหนึ่งในศาสตร์ที่ร่วมอยู่ในวิทยาศาสตร์การกีฬาด้วย คือ จะเป็นกระบวนการที่ว่าด้วยเรื่องของการจัดการจิตใจ การควบคุมสติ ความคิด ที่ใช้เพื่อควบคุมทักษะการแสดงออกของร่างกายให้โชว์ออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยหากนักกีฬาคนใด ได้รับการฝึกซ้อมในเรื่องจิตใจมาเป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ จะช่วยส่งผลให้พวกเขาสามารถเค้นเอาศักยภาพที่ดีที่สุดออกมาใช้ในสนามได้ และนั่นคือการเพิ่มโอกาสคว้าแชมป์ให้มีได้มากยิ่งขึ้น
ตราบเท่าที่เรายังมองกีฬา เป็นเรื่องแค่เรื่องของ “ทักษะ” ว่าใครเก่งกว่ากันคนนั้นมีโอกาสชนะมากกว่า ตราบนั้นเราก็จะไม่สามารถพัฒนาตัวเอง พัฒนาวงการกีฬาให้ก้าวหน้าไปได้ไกลอย่างที่ควรจะเป็น เพราะสำหรับกีฬาแล้ว มันมีองค์ประกอบมากมายเหลือเกินที่เป็นปัจจัยสำคัญในการคว้าแชมป์ นอกเหนือไปจากทักษะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่างกาย จิตใจ และทีมงานที่คอยดูแลนักกีฬา ซึ่งทุกองค์ประกอบล้วนทำงานร่วมกันภายใต้องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์การกีฬาทั้งสิ้น
ดังนั้น ถ้าเราอยากเปิดโอกาสให้ตัวเอง กลายเป็นนักกีฬาที่มีคุณภาพมากขึ้น อยากเปิดโอกาสให้ตัวเองกลายเป็นโค้ชที่พัฒนานักกีฬาตัวเองให้ก้าวไกลไปได้มากขึ้นแล้วล่ะก็ เราต้องเปิดใจ ยอมรับให้ได้ว่า “ยังมีอะไรอีกมากที่เราต้องเรียนรู้” เพื่อนำมาใช้ในการสร้างเส้นางไปสู่ความสำเร็จ ไปสู่ตำแหน่งแชมป์ที่เราต้องการ