ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นการลดน้ำหนัก ควบคุมรูปร่าง หรือว่าสร้างสมรรถภาพ ศักยภาพร่างกายที่ดีกว่าเดิม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการแข่งขันอย่างที่ตั้งใจ เราทุกคนต่างก็ต้องเคยพบช่วงเวลาแห่งความล้มเหลว ช่วงเวลาที่รู้สึกว่า “เสียเวลาซ้อมไปตั้งนาน แต่ก็ยังไม่ผ่านไปจนถึงความสำเร็จสักที” ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นจุดสำคัญเลยก็ว่าได้ ที่หากเรา ผู้ฝึกซ้อม หรือตัวโค้ชเองไม่สามารถพานักกีฬาของตน พาคนของตนก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้แล้วล่ะก็ เราก็จะไม่มีวันบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เพื่อให้ทุกเป้าหมายและความตั้งใจของทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น วันนี้เรามี 5 สิ่งสำคัญ ที่จะช่วยพาให้เราฝ่าฟันช่วงเวลาการฝึกซ้อมอันล้มเหลวไปให้ได้ จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายปลายทางได้อย่างที่ตั้งใจในที่สุด
1. อย่ามองแต่ปลายทางเท่านั้น ผลลัพธ์มันมีระหว่างทางด้วยเสมอ
บ่อยครั้งเราก็เอาแต่มองกันที่เป้าใหญ่ เป้าหมายปลายทาง เช่นทำไมฉันไม่ชนะ ทำไมฉันไม่ได้แชมป์ ทำไมฉันถึงวิ่งเร็วเท่านั้นไม่ได้ ทำไมน้ำหนักถึงยังลงไปไม่ถึงเป้าหมาย ฯลฯ เราเอาแต่มองภาพใหญ่ที่เป็นเป้าเดียว จนลืมคิดไปว่า ระหว่างทางทุกวันมันก็มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเสมอ ในขณะที่เราตั้งเป้าไว้ที่ 100 โดยที่เราเริ่มจาก 0 ทุกวันเราขยับไปที่ 1 2 3 และ 20 30 40 ซึ่งนั่นแสดงถึงได้อย่างชัดเจนแล้วว่า เรามี Progress คือเรามีการพัฒนา มีความก้าวหน้า แต่เพราะเราเอาแต่มองว่า “มันยังไม่ถึงเป้าหมาย” ก็เลยกลายเป็นว่า บั่นทอนกำลังใจตัวเอง
ดังนั้น จงมองสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน วันนี้เราดีขึ้นกว่าเมื่อวาน วันนี้เราทำสถิติได้ดีขึ้นกว่าวันที่ผ่านมา ค่อยๆ ซึมซัมพัฒนาการที่ดีขึ้นของตัวเองไปช้า แล้วเราจะไม่หงุดหงิด ไม่ท้อแท้ จนพาตัวเองให้ก้าวหน้าต่อไปไม่ได้ ซึ่งสำหรับคนที่จะไปได้ถึงเป้าหมายนั้น ย่อมมีเพียงแค่คนที่ไม่ยอมแพ้ และก้าวเดินต่อไปจนสุดทางเท่านั้น
2. ยอมรับความจริง แต่ต้องไม่โทษตัวเอง
สำหรับการฝึกซ้อมที่ไม่แสดงผลลัพธ์อย่างที่เราตั้งใจ เราต้องยอมรับให้ได้ว่า “ตัวเราพลาดตรงไหน” เราย่อหย่อนตรงไหน เราไม่รัดกุม ไม่ปฏิบัติตามแผนตรงไหน คือเราต้องหาจุดผิดพลาดนั้นให้เจอ แล้วยอมรับให้ได้ว่า “มันเป็นเพราะเรานะ” แต่ทั้งนี้ ก็อย่าเอาแต่โทษตัวเอง อย่าดูถูก อย่าตำหนิตัวเอง
เพราะมันไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้แย่ลงเท่านั้น กลับกันเลยคือ ขอให้มองว่าการหาจุดบกพร่องเจอ คือความดีของเรา ที่เรากล้าจะยอมรับว่าเราผิด เราพลาด แล้วก็ค่อยๆ ปรับปรุงไปเรื่อยๆ เพื่อกลบจุดผิดพลาดนั้น ซึ่งสำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จริงๆ แล้ว คือ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยผิดพลาด แต่เป็นเพราะเขารู้ว่าตัวเองผิดพลาด และแก้ไขมันให้ถูกต้องต่างหาก
3. ถามตัวเองให้แน่ใจ ว่าอยากไปให้ถึงเป้าจริงๆ ใช่ไหม?
บ่อยครั้งสิ่งที่ฉุดรั้งเราให้ไม่สามารถไปถึงเป้าหมายได้ ก็เป็นเพราะ “เป้าหมายนั้น” มันไม่ใช่เป้าหมายของเราจริงๆ เราอาจจะตั้งมันขึ้นมาเองเพราะเห็น “คนอื่น” ทำได้ แล้วก็แค่อยากทำให้ได้อย่างคนอื่นเท่านั้น มันไม่ได้เกิดมาจาก “แรงปรารถนา” ที่จะได้สิ่งนั้นมาเพราะตัวเราเอง ก็เลยทำให้ เราทำไม่เต็มที่ ขาดวินัย และพาให้ตัวเองค่อยๆ ห่างไกลจากเป้าหมายในที่สุด ว่ากันว่า “ถ้าอะไรสำคัญ เราจะทำสิ่งนั้นอย่างไม่มีวันเหนื่อย ไม่มีวันยอมแพ้” ซึ่งความจริงข้อนี้เองก็เอามาใช้กับการ “ฝึกซ้อมเพื่อบรรลุเป้าหมาย” ได้เช่นกัน เพราะถ้าข้างในลึกเราเห็นว่ามันสำคัญ เราจะฝ่าฟันไปได้ จนกระทั่งบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจได้ในที่สุด
4. ตรวจทานความคืบหน้าของการฝึกซ้อมเสมอ
หลายคนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อม ฝึกแล้วฝึกอีก โดยที่ไม่ได้วัดผล ไม่ได้ติดตามความคืบหน้าอะไรเลย จนทำให้บ่อยครั้ง พอเราไม่เห็น Progress ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ก็กลายเป็นรู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อยว่า ฝึกมาตั้งนาน ทำไมได้แค่นี้เอง จริงๆ น่าจะได้มากกว่านี้สิ ซึ่งการแก้ไขความรู้สึกแบบนี้ สามารถทำได้โดย การวัดความคืบหน้าของการฝึกเราทุกวันครับ หรือถี่ที่สุดเท่าที่จะถี่ได้ครับ เอาจริงๆ เหมือนคนที่ชั่งน้ำหนักทุกวันนั่นแหละ ว่าวันนี้ดีกว่าเมื่อวานไหม ต่อให้มันลดลงแค่วันละขีด มันก็จะเป็นความสำเร็จที่ดี เป็นกำลังใจที่ดีที่ทำให้เราเห็นว่า “เราก้าวหน้า” แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ ก็ตาม
และอีกอย่างคือ เวลาที่เราเห็นว่าเราหนักเท่าเดิม หรือเราทำได้ดีเท่าเดิม มันจะช่วยย้อนกลับมาตั้งคำถามเราว่า เราพลาดตรงไหนไหม หรือถ้าไม่พลาด แสดงว่า ถ้าเราจะก้าวต่อไปให้ได้มากกว่านี้ เราต้องทำอะไรมากขึ้น ต้องเปลี่ยนแปลงแผนการฝึกซ้อมบางอย่างแล้ว เพราะถ้ายังคงทำแบบเดิม ก็จะไม่มีทางเติมผลลัพธ์ความก้าวหน้าใหม่ๆ เข้ามาให้ชีวิตได้
5. ปรึกษาผู้รู้ที่เชี่ยวชาญกว่า ค้นคว้าตำราที่ทำให้เราไปได้ไกลขึ้น
หลายคนยึดติดกับ “กรอบความรู้เดิม” ที่จริงๆ อาจไม่ได้ผิดก็ได้ แต่มันไม่ได้เป็นชุดความรู้ที่ทันสมัยมากพอ และครบองค์ประกอบมากพอ กับการพาให้เราก้าวไปถึงจุดหมายอย่างที่เราต้องการ เปรียบเทียบง่ายๆ ครับว่า ถ้าวันนี้ หากเรายังฝึกนักกีฬาด้วยความรู้สมัยเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ด้วยอุปกรณ์เมื่อ 20 ปีที่แล้ว นักกีฬาคนนั้นจะ “พร้อมเพียงพอ” กับการเป็นแข่งขันกับคู่แข่ง ที่ฝึกซ้อมมาด้วยชุดความรู้ของยุคปัจจุบัน และอุปกรณ์การฝึกซ้อมที่ทันสมัยที่สุดหรือไม่? คำตอบคงไม่ยากเท่าไรถูกไหมครับ
แน่นอนว่า เขาอาจจะเก่ง แต่ก็คงไม่เก่งพอที่จะชนะคู่แข่ง ที่มีชุดความรู้ที่ดีที่สุดได้ง่ายๆ ดังนั้น การถามผู้รู้ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้ “การฝึกซ้อมของเรา” ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาจนสามารถสร้างผลลัพธ์ ให้เราบรรลุเป้าหมายได้อย่างที่เราต้องกา
บนเส้นทางของการฝึกซ้อม ไม่มีคำว่าง่ายและราบรื่นครับ มันจะมีแต่คำว่า อุปสรรค มาขัดขวางเราไว้เสมอ แต่ก็ขอให้ทุกคนตระหนักไว้ครับว่า เบื้องหลังอุปสรรคทั้งหมด คือการคืบหน้าเข้าใกล้เส้นชัย ยิ่งเราก้าวผ่านความล้มเหลวในการฝึกซ้อมไปได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งพาตัวเราก้าวไกล และเข้าใกล้เป้าหมายของการฝึกซ้อมได้มากเท่านั้น ดังนั้นแล้ว อย่าเพิ่งท้อเมื่อซ้อม เมื่อฝึกแล้วล้มเหลวเลยครับ เพราะความล้มเหลว ก็เป็นด่านหนึ่งที่เราต้องผ่านไปให้ได้ ถ้ายังอยากประสบความสำเร็จ เพราะคนที่ล้มเหลวมากพอเท่านั้น คือคนที่รู้ว่า อะไรถูก อะไรดี อะไรเหมาะสม และอะไรที่เราต้องทำ เพื่อให้เขาประสนความสำเร็จได้อย่างที่ใจต้องการ