ปัจจุบันเทรนด์รักสุขภาพ ออกกำลังกายเพื่อลดหุ่น เสริมสร้างความฟิตให้กับร่างกายกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย เรียกได้ว่าถนนทุกสาย สวนสาธารณะทุกแห่ง ฟิตเนสทุกยิมเต็มไปด้วยผู้คนที่รักสุขภาพชนิดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะหันมาสนใจการออกกำลังกายมากขึ้น แต่ก็ยังคงพบว่าส่วนใหญ่แล้ว ยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามเป้าหมายอย่างที่ใจต้องการจากการออกกำลังกายสักที นั่นก็เป็นเพราะว่ายังมีความเข้าใจผิดอยู่อีกมากสำหรับการออกกำลังกาย ดังนั้นวันนี้ เราจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า อะไรบ้างที่เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้เราออกกำลังกายแบบผิดๆ และไปไม่ถึงผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายของการออกกำลังกายที่ตั้งใจไว้สักที!!
7 ความเชื่อผิดๆ ที่ทำให้ เราออกกำลังกายแบบผิดๆ และไม่ได้ผล!!
- เหงื่อออกมากแสดงว่าเผาผลาญได้มาก
เป็นความเชื่อต่อๆ กันมา และเป็นความรู้สึกส่วนตัวของคนส่วนใหญ่เองด้วยว่า ถ้าเราออกกำลังกายแล้วได้เหงื่อมากๆ แสดงว่าเราเผาผลาญได้มาก และจะต้องผอมได้ในเร็ววันแน่ๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ปริมาณของเหงื่อที่ออกมาจากร่างกายเราในขณะออกกำลังกายนั้น เป็นเพียงตัวบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของการระบายความร้อนในร่างกาย ซึ่งแม้จะมีความเกี่ยวพันกับการเผาผลาญอยู่ด้วย แต่ปริมาณของเหงื่อก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าเราเผาผลาญได้มาก ดังนั้น อย่าเผลอใช้ “ปริมาณเหงื่อ” เป็นตัววัดว่าการออกกำลังกายเราได้ผลแล้ว แต่ให้ดูตัวเลขของการเผาผลาญที่แท้จริง หรือไม่ก็ให้ยึดเวลาในการออกกำลังกายเป็นสำคัญ เพราะการออกกำลังกายที่ดี คือต้องใช้เวลาเกิน 30 นาทีขึ้นไป โดยในนาทีที่ 25 ร่างกายถึงจะเริ่มเผาผลาญไขมันออกมาใช้ นั่นหมายความว่า ถ้าคุณออกกำลังกายไปเพียงแค่ 10 นาทีแล้วเหงื่อออกมาก และคิดว่าโอ้โห!! เผาผลาญได้เยอะแล้ว แล้วหยุดออกกำลัง พึงระวังไว้ให้ดีว่า คุณยังไม่ได้เผาผลาญพลังงานตามที่ตั้งใจไว้เลย
- No Pain, No Gain ไม่เจ็บ ก็จะไม่ได้ผล
จริงอยู่ที่กลไกลการสร้างกล้ามเนื้อของคนเรา คือการออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อฉีกขาด และเกิดการฟื้นฟูสร้างใหม่ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมา แต่ทั้งนี้การเชื่อแต่ว่า “ไม่เจ็บ แสดงว่าไม่ได้ผล” นั้น อาจทำให้เรากำลังเดินทางไปสู่การทำร้ายตัวเองให้บาดเจ็บก็เป็นได้ เพราะสำหรับมือใหม่ที่ออกกำลังกายแล้ว อาจจะไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่า “ความเจ็บปวด” ที่เกิดขึ้นกับร่างกายเรานั้น คือความเจ็บปวดที่เป็นต้นกำเนิดของการสร้างกล้ามเนื้อ หรือเป็นความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บที่เราออกกำลังกายผิดวิธี ซึ่งหากเป็นความเจ็บปวดอย่างหลังล่ะก็ การฝืนออกกำลังกายต่อไป โดยคิดว่า โอ้โห!! เจ็บแล้ว ต้องถูกแน่ๆ ต้องย้ำให้เจ็บอีก จะได้เห็นผลไว จะทำให้เราทำให้ร่างกายได้รับอันตราย และสุดท้ายพอเจ็บจนถึงขั้นทนไม่ไหว ก็จะทำให้เราไม่สามารถกลับมาออกกำลังกายได้อย่างต่อเนื่อง และหลุดออกจากเส้นทางเป้าหมายที่ตั้งไว้ไปในที่สุด
[irp posts=”46″ name=”แชมป์ ต้องซ้อมมากแค่ไหน”]
[irp posts=”49″ name=”คิดแบบมนุษย์ที่เร็วที่สุดในโลก”]
- วิ่ง คือการออกกำลังกายที่ดีที่สุด
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดี จริงครับ หากแต่ไม่ใช่การออกกำลังกายที่ดีที่สุด ทั้งนี้ ไม่ว่าการออกกำลังกายใดก็แล้วแต่ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “เราต้องรู้ก่อนว่าเป้าหมายของการออกกำลังกายเราคืออะไร?” เพราะหากเราต้องการสร้างกล้ามเนื้อแล้วล่ะก็ การวิ่ง ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิค จะไม่ใช่การตอบโจทย์ในการสร้างกล้ามเนื้อ กลับกัน จะทำให้เราเบิร์นกล้ามเนื้อตัวเองทิ้งไปเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น จงพิจารณาเป้าหมายของตัวเองให้ดีก่อนว่า ต้องการออกกำลังกายเพื่อวัตถุประสงค์ใด และเลือกวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเป้าหมายนั้นๆ ของเรา
- ออกกำลังกายทุกวัน ฉันจะกินอะไรก็ได้
มักเป็นความชะล่าใจที่เป็นกันเยอะเลย กับการรู้สึกว่า “ฉันออกกำลังกายทุกวัน ดังนั้น ฉันจะกินอะไรก็ได้” แล้วก็พยายามเทียบเคียงว่า วิ่งไป 400 แคลอรี่ ก็กินเค้กได้ก้อนหนึ่ง กินขนมได้ถุงหนึ่ง กินกาแฟนมได้หลายแก้ว ฯลฯ การปล่อยให้ตัวเองเชื่อแบบนี้ ก็เท่ากับการทำให้ตัวเราเองไม่ได้เข้าสู่กระบวนการของการออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง จริงอยู่ที่จำนวนแคลอรี่สำหรับของกินนั้น สามารถทดแทนกับจำนวนแคลอรี่จากการเผาผลาญขณะออกกำลังกายได้ แต่เมื่อบวกลบกลบหนี้กันแล้ว มันก็เท่ากับเราไม่ได้ออกกำลังกายเลยใช่มั้ยล่ะครับ หลักการพื้นฐานของการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก คือการกินให้น้อยกว่าที่เผาผลาญออกไป ซึ่งถ้าเราอยากลดน้ำหนักให้ได้ แต่กลับกินเหมือนเดิม เท่ากันกับการเผาผลาญเหมือนเดิม ทุกอย่างก็เป็นศูนย์ ดังนั้น ถ้าเรามีเป้าหมายที่การลดน้ำหนัก การออกกำลังกายเป็นตัวช่วยในการเผาผลาญเท่านั้น เราเองยังต้องควบคุมอาหารควบคู่กันไปด้วยจึงจะได้ผล
- ออกกำลังกายแล้วจะทำให้แข็งแรงปลอดภัย ไร้โรค
สุขภาพร่างกายคนเราแข็งแรงจากการออกกำลังกายได้จริงครับ และก็ช่วยให้เราป่วยยากขึ้นจริง แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ป่วยเลย ยังมีโรคอีกมากมายที่ไม่สนใจหรอกว่าเราจะมีกล้ามโตแค่ไหน ซิคแพ็คเราจะชัดแค่ไหน ดังนั้น อย่าลืมใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองในมิติอื่นๆ ด้วย เช่น การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ มีประโยชน์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รักษาความสะอาดอยู่เสมอ เพราะแท้จริงแล้วการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ไม่เจ็บป่วยนั้น มีองค์ประกอบที่สำคัญหลายอย่าง เราจึงไม่อาจโฟกัสที่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวได้ แต่ต้องใส่ใจดูแลให้ดีในทุกๆ องค์ประกอบ
- ยกเวทแล้วกล้ามใหญ่ ผู้หญิงไม่ควรเล่น Weight Training
เป็นความหวาดกลัวของผู้หญิงส่วนใหญ่ ที่ไม่กล้าจะหันเข้าไปทางโซนเวทเทรนนิ่งเลย เพราะไม่อยากมีกล้ามใหญ่ ทำให้สรีระตัวเองต้องกลายเป็นเหมือนนักกล้ามและสูญเสียความงดงามไป แต่ทั้งนี้ ในความเป็นจริงแล้ว การออกกำลังกายแบเวทเทรนนิ่งนั้น คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราเผาผลาญและเบิร์นไขมันได้มากที่สุด ทั้งนี้ เพราะการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนัก จะทำให้เรามีกล้ามเนื้อ และกล้ามเนื้อคือเครื่องเผาเผลาญไขมันที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด ที่จะทำให้เราสามารถเผาเผลาญได้แม้ในขณะที่นั่งหรือนอนหลับอยู่เฉยๆ ในขณะเดียวกัน การจะมีกล้ามใหญ่โตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แถมขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละคนอีกต่างหาก ดังนั้น จงอย่ากลัวที่จะยกเวท เล่นเวทเทรนนิ่ง เพราะในความเป็นจริงเราไม่มีทางมีกล้ามแบบนักกล้ามเพาะกายได้เลย ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนและดูแลเรื่องอาหารเสริมแบบเขา
- อยากได้ 6 Packs กล้ามท้อง ต้องซิตอัพอย่างหนัก
จริงอยู่กลับที่การซิตอัพนั้นคือการออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อท้อง แต่ถ้าเราต้องการเห็นซิคแพ็คจริงๆ นั้น ลำพังเพียงแค่ตะบี้ตะบันซิตอัพอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอแน่ๆ เพราะเราจำเป็นต้องควบคุมอาหารควบคุมปริมาณไขมันในร่างกายเราด้วย เพราะแท้จริงแล้วเราทุกคนมีกล้ามเนื้อท้องอยู่แล้วกันทุกคน เพียงแต่ถูกชั้นไขมันปกคลุมหุ้มไว้ให้เห็นไม่ชัด หรือไม่เห็นเลยมากกว่า การซิตอัพจะช่วยให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเราชัดขึ้น แข็งแรงขึ้น แต่จะเห็นหรือไม่เห็นนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณไขมันในร่างกายล้วนๆ เหมือนหนักมวยปล้ำบางคน แข็งแรงตัวใหญ่มากแต่ไม่เห็นกล้ามเลย จริงๆ ไม่ใช่เขาไม่มีนะครับ แต่เพราะปริมาณไขมันในร่างกายเขานั้นยังไม่ถึงเปอร์เซ็นต์ที่ทำให้เห็นชัดได้ ทั้งนี้ ถ้าอยากมองเห็นซิคแพ็คตัวเองชัดๆ ล่ะก็ ต้องทำให้ปริมาณไขมันในร่างกายอยู่ที่ 12% โดยประมาณ และยิ่งลดน้อยลงกว่า 12 เท่าไร ก็จะยิ่งเห็นชัดมากขึ้นเท่านั้น
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพอย่างไม่ต้องสงสัยครับ หากแต่จะดีที่สุดจริงๆ ก็ต้องอาศัยการออกกำลังกายที่ถูกต้อง เหมาะสม และเข้าใจด้วย ถึงจะเห็นผลและมีประสิทธิภาพ ดังนั้น การค่อยๆ หมั่นเรียนรู้และทำความเข้าใจหลักการของการออกกำลังกาย แต่ละท่า แต่ละชนิด ร่วมไปกับการทำความเข้าใจเรื่องโภชนาการอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย จึงถึงเป็นหัวใจสำคัญสูงสุด ที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายของการออกกำลังกายที่เป้าไว้ได้